การเคหะแห่งชาติสานต่อนโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบาง เร่งรับคืนอาคารเช่าจากภาคเอกชน จำนวน 32,632 หน่วย คาดรับคืนได้ทั้งหมดในปี 2565 หวังลดค่าใช้จ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิตลูกบ้าน

          นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า ภายหลังจากรับทราบนโยบายให้รับคืนอาคารเช่าจากภาคเอกชนมาให้การเคหะแห่งชาติบริหารเอง ตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้หน่วยงานของภาครัฐช่วยเหลือประชาชนตามภารกิจเป็นการเร่งด่วน เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงมอบหมายให้การเคหะแห่งชาติดำเนินการรับคืนอาคาคาเช่าเหมาจากภาคเอกชน  เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย

 ปัจจุบันนี้การเคหะแห่งชาติอยู่ระหว่างการเรียกคืนอาคารเช่าจากภาคเอกชนมาบริหารจัดการเอง โดยแบ่งแนวทาง การรับคืนอาคารเช่าจากภาคเอกชน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม 4 ประเภท ได้แก่

กลุ่มที่ 1 บริษัทเอกชนที่หมดสัญญา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

            1. มีหนี้ค้างชำระ โดยการเคหะแห่งชาติได้ออกหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้และส่งมอบพื้นที่ นับถัดจากบริษัทได้รับหนังสือ 30 วัน

            2. ไม่มีหนี้ค้างชำระ การเคหะแห่งชาติได้ออกหนังสือแจ้งให้ส่งมอบคืนพื้นที่ เนื่องจากไม่ต่อสัญญา นับถัดจากบริษัทได้รับหนังสือ 30 วัน

กลุ่มที่ 2 บริษัทเอกชนที่อยู่ระหว่างสัญญา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

            1. มีหนี้ค้างชำระ ออกหนังสือบอกเลิกสัญญา 30 วัน และแจ้งให้ชำระหนี้และส่งมอบคืนพื้นที่ นับถัดจากบริษัทได้รับหนังสืออีก 30 วัน  

            2.ไม่มีหนี้ค้างชำระ ซึ่งจะขอคืนพื้นที่เนื่องจากไม่ต่อสัญญา นับถัดจากวันที่ครบกำหนดสัญญา 30 วัน

โดยมีเป้าหมายดำเนินการรับคืนอาคารเช่าจากบริษัทเอกชน จำนวน 60 สัญญา รวมทั้งสิ้น 32,632 หน่วย ซึ่งมีแผนรับคืนอาคารจากบริษัทเอกชนรายใหญ่ จำนวน 35 สัญญา รวม 29,966 หน่วย และการรับคืนอาคารจากบริษัทรายเล็ก จำนวน 25 สัญญา รวม 2,666 หน่วย

            โดยที่ผ่านมาการเคหะแห่งชาติดำเนินการรับคืนอาคารเช่ามาแล้ว 2 สัญญา ได้แก่ โครงการเคหะชุมชนนวมินทร์ และโครงการเคหะชุมชนออเงิน และได้ดำเนินการรับคืนอาคารเช่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ดำเนินการรับคืนอาคารจากบริษัทเอกชนแล้ว จำนวน 49 สัญญา และจะดำเนินการให้ครบภายใน 31 ธันวาคม 2565 ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำสัญญากับผู้เช่ารายย่อยในโครงการ

สำหรับขั้นตอนการรับคืนอาคารเช่า ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1. ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ โดยโฟกัสไปที่กลุ่มเป้าหมาย 2.การทำสัญญา 3.การเก็บเงิน มีการแจ้งเตือนก่อน 1 วัน สามารถตรวจสอบการชำระเงินผ่านระบบ หากไม่ชำระ จะมีการแจ้งเตือนจาก call center ในวันถัดมา หลังจากนั้น จะติดตามหนี้  และ 4. การบริหารชุมชน จ้างผู้พักอาศัยในชุมชมทำงาน เช่น แม่บ้าน รปภ. ธุรการและช่างเทคนิค

 

            ทั้งนี้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในโครงการอาคารเช่าจะได้รับผลประโยชน์ ทั้งด้านการเงินและคุณภาพชีวิต เพราะจะลดภาระค่าเช่าให้กับผู้อยู่อาศัย 10-40% ค่าไฟฟ้าลดลงจากเดิม เพราะเป็นการเรียกเก็บจากการไฟฟ้านครหลวงโดยตรง (ปัจจุบันบริษัทเอกชนเหมาจัดเก็บค่าไฟฟ้า) ค่าน้ำประปาจะคิดอัตราค่าน้ำประปาสำหรับผู้มีรายได้น้อยกรณีที่การเคหะแห่งชาติเป็นคู่สัญญากับการประปานครหลวง และบริการจัดเก็บขยะฟรี

            ส่วนด้านคุณภาพชีวิต มี รปภ. รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง มีการทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลางและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบตามระยะเวลา พัฒนาและปรับปรุงซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ รวมถึงปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในโครงการ เพิ่มพื้นที่สีเขียว เช่น สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น ที่สำคัญจะสร้างอาชีพให้กับผู้ที่อยู่อาศัยในโครงการฯ ให้มีส่วนร่วมในการดูแลชุมชน เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยเกิดความรักความผูกพันในที่อยู่ของตนเอง และมีรายได้ที่มั่นคงสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้ อีกทั้งยังมีการติดต่อประสานงานต่างๆรับร้องเรียนได้ทุกวันด้วย

ทั้งนี้ เมื่อการเคหะแห่งชาตินำอาคารเช่าที่ให้เอกชนเช่าเหมากลับมาบริหารเอง การเคหะแห่งชาติจะสามารถดูแลประชาชนได้ทันท่วงที หากเกิดสถานการณ์เช่นเดียวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) อีกทั้งยังลดภาระค่าเช่าให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย รวมถึงจะทำให้การเคหะแห่งชาติมีรายได้เพิ่มขึ้น ที่สำคัญการเคหะแห่งชาติจะสามารถเข้าไปปรับปรุงซ่อมแซมห้องพักอาศัย ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมภายในโครงการให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและการพักอาศัยให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยอีกด้วย