“ราคาน้ำมันพุ่ง” ปัจจัยดันเงินเฟ้อไตรมาส 1/65 เร่งตัวแตะ 4%
ttb analytics ประเมินเงินเฟ้อปี 65 แตะ 2% เตรียมรับเงินเฟ้อเร่งตัวสูงสุด 4% ในไตรมาสแรก ก่อนทยอยลดลงในช่วงที่เหลือของปี หลังปัจจัยกดดันราคาด้านต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศทยอยคลี่คลายลงตามลำดับ
ข้อมูลจาก ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินว่า แรงกดดันจากหมวดพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เงินเฟ้อในปี 2565 ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ไทยจะได้รับผลดีจากการที่รัฐบาลเข้าตรึงราคาเชื้อเพลิงบางประเภท แต่ไม่เพียงพอที่จะช่วยลดแรงกดดันด้านราคาที่เพิ่มขึ้นเร็ว ทั้งนี้ ประเมินว่าหลังเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ปี 2565 แรงกดดันด้านราคาพลังงานจะคลี่คลายลงบ้าง แต่ก็ยังคงมีอยู่ไปจนกว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันจะสามารถบริหารจัดการทยอยเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ตามเป้าหมายในช่วงไตรมาส 3 นี้
ส่วนต้นทุนหมวดอาหารสดมีการปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกที่แพงขึ้น ประกอบกับการเกิดโรคระบาดของสุกรในประเทศไทย ทำให้ปริมาณผลผลิตสุกรลดลงและราคาเนื้อสุกรในประเทศเพิ่มขึ้นสูง จึงคาดว่า ไทยอาจยังต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนในการเพิ่มปริมาณการเลี้ยงสุกรและทยอยเพิ่มผลผลิตเข้าสู่ท้องตลาด เป็นสาเหตุทำให้แรงกดดันต่อราคาในหมวดอาหารสดจะคงยังลากยาวไปถึงสิ้นปี 2565
ทั้งนี้แรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (เงินเฟ้อที่ไม่รวมหมวดอาหารสดและพลังงาน) คาดว่าจะแผ่วลงไปในช่วงต้นปี เพราะโควิด โอไมครอน เป็นเชื้อที่แพร่กระจายเร็วและไม่ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง จึงประเมินว่าผลกระทบนี้จะอยู่เพียงในไตรมาสที่ 1/65 เท่านั้น ก่อนที่เศรษฐกิจภายในประเทศและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทยอยกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนถึงสิ้นปี
คาด Supply Bottleneck กลับสู่ระดับปกติได้ช่วงปลายปี 65
สำหรับปัจจัยกดดันเงินเฟ้อเพิ่มเติมจากปัญหาการตึงตัวในภาคการผลิต (Supply Bottleneck) ในบางหมวดอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เชื่อมโยงกับผู้ผลิตในประเทศที่กำลังเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ โดยเฉพาะ ยุโรป สหรัฐฯ แต่คาดว่าปัญหาการตึงตัวในกระบวนการผลิตและต้นทุนขนส่งทางเรือจะสร้างแรงกดดันต่อราคาสินค้าของหมวดที่อยู่ทั้งในและนอกอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอย่างชัดเจนไปจนถึงไตรมาส 3 ก่อนจะเบาลงในช่วงปลายปี
ส่วนปัญหาค่าขนส่งทางเรือที่แพงได้ทยอยปรับลงมาแล้วนับตั้งแต่ปลายปี 2564 แต่คาดว่าจะใช้เวลานานกว่าจะกลับสู่ระดับราคาปกติได้ราวปลายปี 2567
ทั้งนี้ปัจจัยกดดันด้านสูงจากฝั่งอุปทาน ประกอบกับเงินบาทที่อ่อนค่าลงจากปี 2564 จะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อของไทยจะเฉลี่ยอยู่ที่ 2.7% ไปจนถึงสิ้นไตรมาสที่ 3/65 นี้ โดยเร่งตัวสูงสุดในไตรมาสแรก และจะทยอยลดลงตลอดไปจนถึงปลายปี หลังปัจจัยต่าง ๆ ทยอยคลี่คลาย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 2%
อย่างไรก็ดีในช่วงภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวเร็ว ประชาชนต้องปรับวิธีการใช้จ่ายให้เหมาะสม ในส่วนภาครัฐที่กำกับดูแลเศรษฐกิจ นอกจากการเร่งออกนโยบายลดต้นทุนค่าครองชีพทั้งการตรึงราคาเชื้อเพลิง และการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ประชาชนแล้ว อาจเข้าไปช่วยจัดการแก้ไขปัญหาด้านปริมาณผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการในส่วนที่สามารถทำได้ภายในประเทศ เพื่อลดแรงกดดันจากเงินเฟ้ออีกทางหนึ่ง