สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ชี้โอกาสการส่งออกสินค้าไปตลาดซาอุดีอาระเบีย หลังมีการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ซึ่งในแง่เศรษฐกิจการค้า ทั้ง 2 ฝ่าย สามารถสร้างความร่วมมือได้ใน 5 ด้านหลัก คือ แรงงาน การลงทุน การท่องเที่ยว การค้า และอาหาร ขณะที่สินค้าในกลุ่มรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง มีแนวโน้มเติบโตสูง คาดการณ์ว่าในปี 2565 (ณ 1 ก.พ. 65) มูลค่าการค้ารวมระหว่างสองประเทศ จะอยู่ที่ประมาณ 280,336 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 20.3

 

         นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า หลังมีการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน และเป็นไปตามนโยบายส่งเสริมตลาดส่งออกสำคัญ ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเน้นการรักษาตลาดเดิม เพิ่มตลาดใหม่ และฟื้นฟูตลาดเก่าให้กลับคืนมา  พบว่า โอกาสการส่งออกสินค้าไปตลาดซาอุดีอาระเบีย มีความน่าสนใจ เพราะเป็นหนึ่งในตลาดเก่าที่จะฟื้นฟูการส่งออกให้กลับมามีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนให้ภาพรวมการส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางขยายตัวเพิ่มขึ้น


            “ซาอุดีอาระเบีย” เป็นตลาดที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคตะวันออกกลาง รองจากตุรกี จากข้อมูลของธนาคารโลก (World Bank) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของซาอุฯ อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีรายได้ต่อหัวเฉลี่ย 46,700 เหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าในปี 2565 เศรษฐกิจของซาอุฯ จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.9 จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมันจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากการลงทุนที่ขยายตัว ขณะที่เศรษฐกิจของซาอุฯ ในปี 2566 จะยังคงขยายตัวที่ร้อยละ 2.3

           

            “สำหรับสัดส่วนการส่งออกของไทยไปซาอุฯ ก่อนหน้าที่จะลดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.4 (เฉลี่ยปี 2527 – 2531) และเริ่มลดลงนับแต่นั้น โดยปี 2533 การส่งออกไปซาอุฯ หดตัวร้อยละ 11 แต่ก็ยังมีการค้าระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีสัดส่วนการส่งออกที่ลดลงก็ตาม

            ในปี 2548 สัดส่วนการส่งออกไปซาอุฯ เริ่มปรับตัวดีขึ้น และมูลค่าการส่งออกขยายตัวสูงถึงร้อยละ 63.6 เนื่องจากซาอุฯ ได้เข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และมีการเปิดกว้างทางการค้ากับต่างประเทศมากขึ้น หลังจากนั้น สัดส่วนการส่งออกไปซาอุฯ ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการส่งออกก็เติบโตได้ในเกณฑ์ดี จนกระทั่งปี 2558 การส่งออกเริ่มชะลอตัวลงอีกครั้ง ซาอุฯ จากที่เคยเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 21 ในปี 2558 (มีสัดส่วนร้อยละ 1.4 ต่อการส่งออกรวม) ลดลงมาเป็นอันดับที่ 29"


            ทั้งนี้ในปี 2564 สัดส่วนการส่งออกไปซาอุฯ มีสัดส่วนร้อยละ 0.6 ต่อการส่งออกรวม จากผลกระทบของราคาน้ำมันดิบตกต่ำ และความไม่สงบในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นปัจจัยภายในของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่กระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยสินค้าที่หดตัวลงในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า ข้าว และผลิตภัณฑ์ยาง ขณะที่ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก และอาหารสัตว์เลี้ยง เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต หนุนมูลค่าการค้ารวมไทย-ซาอุฯ โต 20.3% มูลค่า 280,336 ล้าน

            สำหรับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตในครั้งนี้ หากมองในแง่เศรษฐกิจการค้า ทั้ง 2 ฝ่าย สามารถสร้างความร่วมมือได้ใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ แรงงาน การลงทุน การท่องเที่ยว การค้า และอาหาร ซึ่ง สนค. ประเมินว่า การกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

            โดยเฉพาะการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคี จะเป็นกลไกความร่วมมือที่สำคัญที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจ เปิดประตูการค้า และแสวงหาโอกาสในการลงทุนร่วมกัน จะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการส่งออกไปตลาดซาอุฯ โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยไปซาอุฯ จะสามารถกลับไปเหนือระดับ 100,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ไทยเคยมีมูลค่าการส่งออกไปซาอุฯ สูงสุด (ปี 2557) และคาดการณ์ว่า ในปี 2565 (ณ 1 ก.พ. 65) มูลค่าการค้ารวมระหว่างสองประเทศ จะอยู่ที่ประมาณ 280,336 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 20.3 โดยการส่งออกจะมีมูลค่า 54,678 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.2 การนำเข้า จะมีมูลค่า 225,658 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 24.3 และขาดดุลการค้า 170,980 ล้านบาท

สินค้าส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป
และผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง

สินค้านำเข้าที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ แร่และผลิตภัณฑ์จากแร่ เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้านเรือน และส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์

สำหรับสินค้าส่งออกศักยภาพที่มีโอกาสและคุ้มค่าต่อการผลักดันไปยังตลาดซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในตลาดซาอุดีอาระเบียอยู่เดิม รวมถึงสินค้าที่มีแนวโน้มนำเข้าจากตลาดโลกเพิ่มขึ้นตลอด 3-5 ปีที่ผ่านมา อาทิ

สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร อาทิ ข้าว ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง (เช่น มะพร้าว, เม็ดมะม่วงหิมพานต์) เนื้อปลาสด แช่เย็น แช่แข็ง ปลาปรุงแต่ง (เช่น ปลาทูน่าปรุงแต่ง) กาแฟ ขนมจากน้ำตาล
(แบบไม่มีโกโก้ผสม) อาหารปรุงแต่งจากธัญพืช เป็นต้น

สินค้าอุตสาหกรรม อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ยางรถยนต์สำหรับรถยนต์นั่ง รถบัส และรถบรรทุก ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เครื่องระบายอากาศหรือเครื่องหมุนเวียนอากาศที่มีพัดลมประกอบร่วมอยู่ด้วย เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับตัดต่อหรือป้องกันวงจรไฟฟ้า เครื่องประดับเพชรพลอย อุปกรณ์ติดตั้งของหลอดหรือท่อ (เช่น ข้อต่อ ข้องอ ปลอกเลื่อน) ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ เอสเซนเชียลออยล์ เป็นต้น