ASW มั่นใจ โชว์ฟอร์มแกร่งกวาดรายได้กว่า 5,034 ล้านบาท GP สูงทะลุ 44% จ่ายปันผล 0.40 บาท/หุ้น พร้อมแจกวอร์แรนท์
บิ๊กบอส ASW “กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” มั่นใจแนวโน้มผลงานปี 65 ไปอีกไกล ย้ำออลไทม์ไฮต่อเนื่อง วางเป้ายอดขายทะลุ 10,000 ล้านบาท และเป้ารายได้กว่า 6,000 ล้านบาท ชูจุดเด่นหุ้น Growth Stock ตั้งเป้าก้าวขึ้นสู่ท็อปผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของประเทศ ล่าสุดปี 64 โชว์ผลการดำเนินงานสุดแกร่ง กวาดรายได้กว่า 5,034 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดใหม่ ชูความสามารถการทำกำไร Gross Profit Margin สูงถึง 44% อานิสงส์จากการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้บอร์ดไฟเขียวอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.40 บาท/หุ้น พร้อมแจกวอร์แรนท์
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 5,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% YoY และมีกำไรสุทธิ 951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoY สร้างสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ขณะที่บริษัทยังคงความสามารถรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้น (GP) ได้ในระดับสูงต่อเนื่องที่ 44% และอัตรากำไรสุทธิ (NP) ที่ 19% สะท้อนการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในวงการอสังหาฯ มาอย่างยาวนาน
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2565 ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท/หุ้น พร้อมแจกวอร์แรนท์ (“ASW-W1”) จำนวนไม่เกิน 285,373,707 หน่วยให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวมีอายุ 2 ปี นับจากวันที่ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ มีอัตราการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น และมีราคาการใช้สิทธิเท่ากับ 12.00 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผล และมีสิทธิได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ ครั้งที่ 1 (ASW-W1) คือ วันที่ 11 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมรับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565
นายกรมเชษฐ์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะกลับมาเติบโตได้ดี จากปัจจัยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์กันว่า GDP ในปีนี้มีแนวโน้มเติบโต 3 - 4% การเปิดประเทศ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV หรือ Loan to Value) เป็นการชั่วคราวให้สามารถปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยรวมกับสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องได้ 100% ของมูลค่าหลักประกัน ตลอดจนการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% และลดค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับอสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีผลตั้งแต่ 18 มกราคม – 31 ธันวาคม 2565
บริษัทจึงพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ เพื่อตอบรับกับโอกาสทางธุรกิจ และผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ตั้งเป้าหมายรายได้รวมที่ 6,000 ล้านบาท เติบโต 19% เพื่อผลักดันผลการดำเนินงานสู่การสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในท็อป 10 บริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของประเทศ
สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจปี 2565 บริษัทตั้งเป้ายอดขายพรีเซลที่ 10,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 6,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวม 12,400 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,550 ล้านบาท และโครงการแนวราบอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,850 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนคอนโดมิเนียม 60% และบ้าน 40%
อีกทั้งในปีนี้บริษัทมีโครงการใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเพื่อรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องถึง 7 โครงการ อาทิ โครงการ โมดิซ คอลเลคชั่น บางโพ มูลค่าโครงการ 1,230 ล้านบาท ,โครงการ เคฟ ศาลายา มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ,โครงการ เคฟ เอวา มูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท ฯลฯ รวมทั้งการการลงทุนในทุกรูปแบบ การร่วมมือหรือ Synergy เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ และสนับสนุนต่อการสร้างรายได้และผลกำไรแก่บริษัทอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 บริษัทพัฒนาโครงการรวม 38 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 38,000 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่จำนวน 29 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 9 โครงการโดยปัจจุบันบริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 7,338 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง