โนเบิล จ่อปันผลเพิ่มเติมอัตราหุ้นละ 0.08 บาท พร้อมเดินเกมรุกปี 65 ปั้นรายได้ระดับ 11,000 ล้านบาท
โนเบิล จ่อปันผลเพิ่มเติมอัตราหุ้นละ 0.08 บาท พร้อมเดินเกมรุกปี 65 ปั้นรายได้ระดับ 11,000 ล้านบาท เดินหน้าเปิดโครงการแล้ว 5 โครงการจากทั้งหมด 18 โครงการ เก็บยอดขายรวมสองเดือนแรกแล้วกว่า 5,000 ล้านบาท
บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ประกาศจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลังของปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท รวมทั้งปี 0.43 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) ที่ 63.2% จ่อขึ้น XD วันที่ 9 พฤษภาคม 2565 ขณะที่รายได้รวมสำหรับปี 2564 อยู่ที่ 7,430 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 932 ล้านบาท เหตุโควิด-19 กระทบต่อผลการดำเนินงานในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดียอดขาย (Pre-sale) สำหรับปี 2564 แตะระดับ 8,035 ล้านบาท จากการทำแคมเปญสำหรับโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ พร้อมประกาศเดินเกมรุกปี 2565 เปิดตัว 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 47,700 ล้านบาท ล่าสุดเปิดตัว 5 โครงการใหม่พร้อมกันกวาดยอดขายแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท และมียอดขายทั้งหมดสองเดือนแรกซึ่งรวมโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่และโครงการที่มีอยู่ในมือเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ส่งซิกบุกลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษต่อเนื่อง 550 ยูนิต ภายใต้งบลงทุน 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง เริ่มทยอยซื้อสินทรัพย์ฯ จำนวน 70 ยูนิต ไตรมาส1/65 นี้
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติอนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิงวดปี 2564 เพื่อจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังของปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลประกอบการทั้งปี 2564 ที่อัตรารวม 0.43 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) ที่ประมาณ 7% โดยกำหนดจะนำเสนอเข้าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 เมษายน 2565 เพื่อทำการอนุมัติและกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 เพื่อกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 พฤษภาคม 2565
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2564 บริษัทฯมีรายได้รวม 7,430 ล้านบาท ลดลง 32% เมื่อเทียบจากปีก่อน (YoY) และกำไรสุทธิอยู่ที่ 932 ล้านบาท ลดลง 50% เมื่อเทียบจากปีก่อน (YoY) ส่วนอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ลดลงอยู่ที่ระดับกว่า 12.5% และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ระดับ 33.0% ลดลงจากปีก่อนเนื่องจากมีการทำแคมเปญสำหรับโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ในช่วงปีที่ผ่านมา รวมถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จนส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศหยุดชะงักจากมาตรการคุ้มเข้มเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ จนนำไปสู่การออกมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงการปิดแคมป์คนงาน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาคการดำเนินธุรกิจด้วยเช่นเดียวกัน
“ ในช่วงเดือนเมษายน 2564 ภาครัฐได้คุมเข้มมาตรการล็อกดาวน์ และการปิดแคมป์คนงาน ส่งผลต่อ Sentiment ของกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ รวมถึงกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวฉุดให้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอ ฉุดให้กำลังผู้บริโภคลดลง ขณะที่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้ง NOBLE ต้องเลื่อนแผนเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป และปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นทยอยการขายโครงการเดิมที่มีในพอร์ต เพื่อระบายโครงการเดิมเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงทางการเงิน อย่างไรก็ตามภาคอสังหาฯเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/2564 จากนโยบายกระตุ้นมาตรการของภาครัฐ ทั้งการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น 100 % (จากเดิม 70% - 90%) ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์”
ขณะที่ยอดขาย (Pre-sale) ในปี 2564 อยู่ที่ระดับ 8,035 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 22% จากปี 2563 จากการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) ประมาณ 5,700 ล้านบาท และมาจากการขายโครงการเปิดใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกประมาณ 2,335 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนของลูกค้าภายในประเทศ 71% และลูกค้าต่างชาติ 29% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนของส่วนแบ่งทางทางการตลาด (Market Share) เฉพาะตลาดของลูกค้าต่างชาติที่ 52% ของยอดขายรวมทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑล นอกจากนี้ในปี 2564 บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6,900 ล้านบาท ได้แก่ โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา และโครงการนิว โนเบิล คอนเนค เฮ้าส์ ดอนเมือง
สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2565 บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ยังคงเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ โดยในปีนี้บริษัทฯได้วางเป้ายอดขาย (Pre-sale) ไว้ที่ระดับ 28,000 ล้านบาท และรายได้ที่ระดับ 11,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 47,700 ล้านบาท โดยบางโครงการเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดมาจากปี 2564 ทั้งนี้บริษัทฯได้วางเป้าหมาย เพื่อขยายพอร์ตสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและกระจายสินค้าให้หลากหลายคลอบคลุมทุกทิศของกรุงเทพฯ อาทิ โซนราชพฤกษ์ เอกมัย บางนา และกรุงเทพกรีฑา เป็นต้น
โดยช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา “NOBLE” ได้เปิดตัวโครงการพร้อมกัน 5 โครงการ ประกอบด้วย
- โครงการนิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9
- โครงการนิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา
- โครงการนิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น
ซึ่งทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการติดห้างสรรพสินค้า
- โครงการนิว โนเบิล อีโว อารีย์
- โครงการนิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง
ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนจากยอดขายสองเดือนแรกสำหรับ 5 โครงการรวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท และรวมยอดขายจากทุกโครงการเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงแผนการลงทุนในสหราชอาณาจักรสำหรับในปี 2565 ว่า “NOBLE” ยังคงแผนหน้าขยายการลงทุนซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์จะเปลี่ยนการลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งอาคารเป็นแบบ Bulk ยูนิต หรือการซื้อเป็นจำนวนหลายๆห้อง (Bulk Deal) แทน เนื่องจากการซื้อเป็นจำนวนยูนิตจะมีการแข่งขั้นที่น้อยกว่าการซื้อทั้งอาคาร โดยในปี 2565 บริษัทฯได้วางเป้าหมายจะซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษ จำนวน 550 ยูนิต ภายใต้วงเงินลงทุน 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ซึ่ง NOBLE จะลงทุน 45% ตามสัดส่วน) โดยในเบื้องต้นคาดว่าภายในไตรมาส1/2565 จะมีการซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์จำนวน 70 ยูนิต อย่างไรก็ตาม จากจุดแข็งทางธุรกิจของ “NOBLE” ไม่ว่าจะเป็นการมีเครือข่ายในต่างประเทศ รวมถึงการมีฐานลูกค้าต่างชาติที่แข็งแกร่ง และมีกลยุทธ์การขยายการลงทุนในต่างประเทศ ยังคงเป็นโอกาสการลงทุนทางธุรกิจของบริษัทฯในอนาคต อย่างมีนัยสำคัญ
โครงการนิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9