ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2564 รับรู้รายได้ 6,589.58 ล้านบาท ขยายตัว 14.3% กำไรสุทธิ 1,389.21 ล้านบาท ขยายตัว 14.9%
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2564 รับรู้รายได้ 6,589.58 ล้านบาท ขยายตัว 14.3% กำไรสุทธิ 1,389.21 ล้านบาท ขยายตัว 14.9% พร้อมประกาศจ่ายปันผลรวม 0.63 บาท/หุ้น สำหรับผลประกอบการปี 2564
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ประกาศผลประกอบการปี 2564 เติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่หก โดยในปี 2564 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 6,589.58 ล้านบาท ขยายตัว 14.3% จากปีก่อนหน้า กำไรสุทธิ 1,389.21 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในปีก่อนหน้า เติบโตเพิ่มขึ้น 14.9% รวมถึงการดำรงสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง เสนอจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.63 บาท/หุ้น สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวถึงผลประกอบการในปี 2564 ว่าแม้ภาพรวมของตลาดจะไม่สดใสมากนัก มีปัจจัยท้าทายต่างๆ เข้ามามากมาย ทั้งการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าทั่วโลก และในประเทศไทย ภาคกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอลง ตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นทั่วโลก นำไปสู่การที่เฟดเร่งการทำ QE Tapering และนโยบายการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป สำหรับบริษัทฯ นั้น ผลประกอบในปี 2564 นับว่าเป็นอีกปีที่บริษัทสามารถทำผลงานได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมียอดรับรู้รายได้ทั้งปีที่ 6,589.58 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องติดต่อกันมากว่า 6 ปี นอกจากรายได้ที่เติบโตสูงกว่าเป้าหมาย แม้ในสถานการณ์ที่ Demand อ่อนตัวลง ในขณะที่ต้นทุนการก่อสร้างหลายตัวปรับเพิ่มขึ้น บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการได้ดี ในปี 2564 บริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 39.1% สูงกว่า Benchmark ของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 31-32% รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนในการขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพ ในปี 2564 ตัวเลขอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A/Revenues) ปรับดีขึ้นมาอยู่ที่ 9.1% ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับปี 2564 อยู่ที่ 1,389.21 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในปีก่อนหน้า เติบโตเพิ่มขึ้น 14.9% โดยมีอัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 21.1% ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 11%
ทั้งนี้ในปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทมีการขยายโครงการใหม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท และในปี 2565 นี้ บริษัทเตรียมขยายโครงการใหม่เพิ่มเติมต่อเนื่องอีก 10 – 12 โครงการ มูลค่า 7,000 – 8,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินอย่างรัดกุม มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นปี 2564 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.60 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า และหากพิจารณาในแง่ของตัวเลขอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ระดับเพียง 0.22 เท่า ลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 0.31 เท่า สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็ง ศักยภาพในการขยายธุรกิจโดยไม่มีปัญหาสภาพคล่อง และความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำโดยเฉพาะในสภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้น
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติเห็นชอบจัดสรรกำไรสำหรับปี 2564 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลรวมทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.63 บาท ซึ่งหากคิดที่ราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็น Dividend Yield อยู่ที่ระดับราว 5.7% โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.295 บาท ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.335 บาทต่อหุ้น โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 16 มีนาคม 2565 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 มีนาคม 2565) และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 13 พฤษภาคม 2565 โดยจะนำเสนอการจ่ายปันผลดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ต่อไป