“ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ” บิ๊กบอส บมจ.ไซมิส แอสเสท (SA) ชู 4 กลยุทธ์เด็ดลุยปีเสือ ‘’Asset Play” นำสินทรัพย์ที่มีมาต่อยอดธุรกิจต่างๆ แตกแขนงออกเป็น 6 ธุรกิจ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น โดยมีแผนหลัก คือ 1.จัดหาแหล่งเงินลงทุนจาก Green Finance- Green Bond ต้นทุนต่ำ 2.ปรับสัดส่วนพัฒนาโครงการแนวราบเป็น 50% ของรายได้ภายในปี 2567  3.เน้นสร้าง Recurring Income และ 4.รุกพัฒนาธุรกิจใหม่ หนุนสร้าง New S-Curve ดันผลงานเติบโตแข็งแกร่ง ส่วนปี 2565 นี้ปักธงรายได้แตะ 4,500-4,900 ล้านบาท  ลุยเปิด 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 11,621 ล้านบาท  ส่วน Backlog ในมือตอนนี้ตุนไว้แล้ว 4,324 ล้านบาท ทยอยรับรู้ภายใน 3 ปี (2565-2569) 

นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA  ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด ‘Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต’ เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตอยู่ที่ 4,500 - 4,900 ล้านบาทจากปีก่อน โดยมีรายได้หลักจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่กำลังดำเนินงานอยู่ (Under Development) จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 23,976.3 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้จะมีโครงการที่แล้วเสร็จคือ Landmark @ MRTA Station 

ขณะที่มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ จำนวน 8 โครงการ มูลค่า 18,938.9 ล้านบาท โดยเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมูลค่า 15,432 ล้านบาทซึ่งมีมูลค่าคงเหลือเป็น Inventory ที่พร้อมขาย เพื่อรับรู้รายได้อีก 5,059.6 ล้านบาท 

พร้อมกันนี้ มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ในปี 2565 จำนวน 6 โครงการได้แก่ Landmark @ Kasetsart TSH Station , Monsane Exclusive Villa Ratchapruek-Pinklao , Siamese Kin Ramintra Phase 2 , Siamese Home @ Phaholyothin – Rangsit , Siamese Talingchan และ Siamese Luxury Home @ Ratchapruek – 345 มูลค่ารวม 11,621.9 ล้านบาท

ปัจจุบัน บริษัทฯมี Backlog มูลค่ารวม 4,324.20 ล้านบาท  จะรับรู้รายได้ภายในปี 2565-2569 ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทได้ขยายโครงการแนวราบ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,500 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2565-2570 นี้ 

เขากล่าวต่อว่าปีนี้ SA ได้กำหนด 4 กลยุทธ์ ในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1.การจัดหาเงินลงทุนให้สอดคล้องกับการวางแผนการพัฒนาโครงการ อาทิเช่น Green Finance หรือ Green Bond  ซึ่งเป็นการลงทุนรูปแบบใหม่ สามารถลดต้นทุนทางด้านการเงินของบริษัทได้ 2.ปรับสัดส่วนการพัฒนาโครงการ โดยเพิ่มรายได้ของโครงการแนวราบมากยิ่งขึ้น 3. มุ่งพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น ถนนสุขุมวิท โดยมีการเก็บอสังหาริมทรัพย์นี้ไว้ และทำการบริหารจัดการ ทำให้เปลี่ยนการรับรู้รายได้จากการขายเป็นการรับรู้รายได้อย่างสม่ำเสมอ (Recurring Income) และ 4. การพัฒนาธุรกิจใหม่ เพื่อขยายธุรกิจ สู่ธุรกิจ New S-Curve ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตในอนาคต

“บริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างการเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีการวางแผนพัฒนาโครงการเพิ่มเติมอยู่ตลอดเพื่อสร้างการรับรู้รายได้ของโครงการใหม่ๆ พร้อมกันนี้ในปี 2565 ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพัฒนาโครงการแนวราบให้อยู่ที่ 50% ของรายได้รวมภายในปี 2567 และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3,000 – 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมองหาโอกาสสร้าง S-Curve จากธุรกิจใหม่ๆ อาทิเช่น ธุรกิจด้านพลังงานสีเขียว ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริการ ธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีของการพักอาศัย ธุรกิจเกี่ยวกับการบริการผู้สูงอายุ ธุรกิจเกี่ยวกับ Spa & Wellness และธุรกิจการเงินและการลงทุนอีกด้วย ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของ SA ให้สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น มั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายขจรศิษฐ์ กล่าวในที่สุด