Next Step ก้าวใหม่อสังหาฯ เชื่อมโลกดิจิทัล – ไฮไลท์จากงานสัมมนา Property Focus 2022: Mega Trend อสังหาฯรับ New Norm
พฤติกรรมผู้บริโภคยุคโควิด มีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ โดยเฉพาะการเลือกซื้ออสังหาฯ ดังนั้นการพัฒนาจึงต้องก้าวให้ทันเทรนด์ใหม่ โดยเฉพาะ Security Convergence, Sustainable cooling, Seamless transition, Smart Energy Network และMetaverse หรือโลกเสมือน ปัจจุบันก็จะเห็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯรายใหญ่เข้าสู่ Metaverse ประมาณ 30% แต่ผลจะสำเร็จหรือไม่นั้นคงตอบไม่ได้ แต่สุดท้ายโลกกำลังเปลี่ยนแปลงเราก็ควรจะต้องไปในแนวนั้น เช่น การทำคอนโดฯต่ำล้าน, การทำให้การประหยัดพลังงาน รักษ์โลก เข้าไปอยู่ใน DNA ขององค์กร เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกธุรกิจจะต้องปรับตัว
คุณสุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด หรือ เว็ปไซต์ TerraBKK.com กล่าวในงานสัมมนา Property Focus 2022 : Mega Trend อสังหาฯรับ New Norm ว่า ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคต่อการเลือกซื้ออสังหาฯ มีการเปลี่ยนแปลงไป จากข้อมูลที่ TerraBKK ได้เก็บจากผู้ตอบแบบสอบถามออนไลน์จำนวน 1,500 คน ในช่วงปลายปี 2564 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นกลุ่มผู้ที่อยู่อาศัยทางกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยบ้านเดี่ยว เป็นสินค้าที่คนต้องการซื้อมากที่สุด ขณะที่ทาวน์โฮม,บ้านพักตากอากาศและบ้านแฝด เป็นกลุ่มสินค้าที่โดดเด่นจากอัตราการเติบโตขึ้นถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้คนในกลุ่ม Gen Z ยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกลุ่มบ้านเดี่ยวเป็นอันดับแรก รองลงมาคือคอนโดฯ โดยส่วนใหญ่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย เพราะต้องการซื้อที่อยู่เป็นของตนเอง, ต้องการสังคมที่ดีขึ้น และที่น่าสนใจคือส่วนใหญ่บอกว่าต้องการที่จะแยกออกจากครอบครัวใหญ่ ซึ่งจะเห็นว่าคนกลุ่มนี้เกิดมาพร้อมกับแนวคิดช่วยเหลือตัวเองพึ่งพาตนเอง ซึ่งการครอบครองอสังหาฯของตนเอง คือหนึ่งในเครื่องหมายความสำเร็จในชีวิต ส่วนกลุ่ม Gen Y เป็นกลุมที่มีความหลากหลายมีความต้องการ มีความสนใจที่ซับซ้อนในการเลือกอสังหาฯ ซึ่งในแต่ละช่วงสถานการณ์จะค่อนข้างแตกต่างกัน เป็นกลุ่มที่ไม่ได้มี loyalty สูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น
สำหรับปัจจัยสำคัญในการที่ลูกค้าจะเลือกซื้ออสังหาฯในช่วงนี้ ส่วนใหญ่บอกว่าต้องการเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยที่มากกว่า โดยเฉพาะบ้านแนวราบที่ลูกค้าต้องการความปลอดภัยที่มากกว่าการดูแลจาก รปภ.ตลอด 24 ชั่วโมงจากหน้าโครงการ นอกจากนี้ลูกค้ายังต้องการโครงการที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งปัจจุบันทำเลที่อยู่ติดรถไฟฟ้าอาจจะไม่ใช่คำตอบของการเลือกซื้ออสังหาฯในตอนนี้ เพราะหลายคนบอกว่ายิ่งใกล้รถไฟฟ้า ยิ่งได้รับมลภาวะทางเสียงและฝุ่นละอองมากขึ้น
อย่างไรก็ดีการใช้สื่อออนไลน์ ยังเป็นสิ่งสำคัญในการทำการตลาดยุคนี้ โดยเฉพาะการโฆษณาผ่านทาง Facebook ที่มาเป็นอันดับหนึ่งซึ่งแซงหน้าสื่ออื่นๆ เพราะ Facebook มีการจับพฤติกรรมของผู้ใช้งานอย่างใกล้ชิด ยกตัวอย่างในช่วงสถานการณ์โควิดแบบนี้ ลูกค้าไม่ได้ออกมาดูโครงการจริงด้วยตนเอง ซึ่งการทำโฆษณาผ่าน Facebook จะทำให้ผู้ที่สนใจกดไลค์ Property product ก็จะได้รับข้อความโดยอัตโนมัติ ปรากฏการณ์นี้ได้บอกว่า ถ้าคุณขายโครงการอสังหาฯแล้วไม่ได้ซื้อโฆษณาใน Facebook แต่โครงการที่อยู่ใกล้เคียงซื้อโฆษณาใน Facebook ลูกค้าก็จะเห็นแค่โครงการที่อยู่ใกล้เคียง และทำให้คุณพลาดโอกาสในการขายไปด้วย จะเห็นว่าปัจจุบันนี้สื่อออนไลน์เข้าถึงลูกค้าในทุกกลุ่มและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อมากทีเดียว
สำหรับ customer Journey ก็ยอมรับว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ โดยเฉพาะลูกค้าที่สนใจบ้านแนวราบ ที่ส่วนใหญต้องการพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัวสำหรับครอบครัวและพื้นที่ขนาดเล็กของตัวเอง ทำให้บางคนที่ปัจจุบันมีบ้านอยู่แล้ว แต่ยังขาดพื้นที่ทำงานซึ่งการต่อเติมอาจะไม่สะดวกหรือต้องใช้งบประมาณสูง ดังนั้นหลายคนจึงเลือกที่จะขยับขยายออกมาซื้อคอนโดฯ ที่อยู่ใกล้กับบ้านปัจจุบันเป็นต้น ซึ่งการที่ลูกค้าค้นหาสิ่งที่สนใจผ่าน Google จะทำให้สินค้าของคุณเข้าใกล้กับผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่แบรนด์จะต้องสร้าง Brand Awareness เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น
ทั้งนี้ผู้บริโภคที่สนใจซื้อทาวน์โฮม ปัจจุบันเป็นกลุ่มที่ใช้ทาวน์โฮมเป็นโฮมออฟฟิต สามารถทำธุรกิจหรือเก็บสต๊อกสินค้าได้ในพื้นที่เดียวกับที่พักอาศัย ซึ่งส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลาง และอยากเพิ่มความเป็นส่วนตัว จึงชอบโครงการที่แบ่งทาวน์โฮมออกเป็นคลัสเตอร์ หรือจำนวนบ้านในแต่ละซอยไม่เยอะมากนัก เพื่อสร้างพื้นที่ส่วนตัวให้มากขึ้น ทำให้ทาวน์โฮมในปัจจุบันบางโครงการก็ขยับเข้ามาในทำเลที่ใกล้เมืองมากขึ้น
ส่วนคอนโดฯ คนยุคนี้ก็ไม่ต้องการโครงการที่มียูนิตเยอะ ๆ แต่มีความต้องการพื้นที่ส่วนกลางมากขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่ Family Room ที่ผู้พักอาศัยต้องการนำมาใช้เป็นพื้นที่กิจกรรมของครอบครัวมากขึ้น เหมือนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการกลับมาต้องการพื้นที่ Family Room ก็เพื่อทดแทนพื้นที่ภายในห้องที่มีขนาดเล็ก หรือไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
สำหรับเทรนด์ในธุรกิจอสังหาฯที่คาดว่าจะเกิดขึ้น มักจะเชื่อมโยงทั้งรูปแบบการอยู่อาศัย เทคโนโลยี และชีวิตการทำงาน ซึ่งจะนำไปสู่New Standard ของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระยะเวลาอันใกล้ อาทิ Security Convergence คือ การเชื่อมโยงการระบบ Security ที่มากกว่าระบบรักษาความปลอดภัยหน้าโครงการ แต่ต้องเป็นการเชื่อมโยงข้อมูล Cyber Security เข้ามาเกี่ยวข้องให้มีความปลอดภัยและป้องกันข้อมูลรั่วไหลได้มากที่สุด และต้องทำให้บ้าน Smart Energy Network โดยการเชื่อมโยงระบบประหยัดพลังงานในบ้าน อาทิ โซล่าเซลล์เชื่อมโยงกับไวไฟ ทำให้บ้านมีความอัจฉริยะสามารถควบคุมการช้พลังงานสะอาดได้ด้วยตัวเอง หรือจะสั่งการผ่านสมาร์ทโฟน และระบบเซ็นเซอร์ต่างๆ เพื่อรองรับการใช้งานของผู้อาศัยในบ้านโดยเฉพาะผู้สูงอายุ หากมีกรณีที่ต้องอยู่คนเดียวก็ต้องสามารถอาศัยภายในบ้านได้อย่างปลอดภัยด้วย
รวมถึง Sustainable cooling และ Seamless transition การพัฒนาระบบความเย็น ที่จะผสานให้การอยู่อาศัยในพื้นที่ในบ้าน และพื้นที่นอกบ้านมีความสมดุล ซึ่งปัจจุบันก็มีโครงการฟอเรสเทีย ที่เป็นต้นแบบการทำโครงการโดยใช้ระบบ cooling เข้ามาผสมผสานได้อย่างสมบูรณ์
และสุดท้าย Metaverse หรือโลกเสมือน ที่ตั้งคำถามว่าในโลกเสมือนเนี่ยมันจะเกิด Real Estate Industry ได้อย่างไร ก็ต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีแพลตฟอร์มที่สามารถซื้อขายที่ดินใน Metaverse ผ่านการแลกเปลี่ยนด้วยเงินดิจิทัล ซึ่งแบรนด์ก็สามารถเข้าไปเพื่อสร้างตัวตนใน Metaverse ได้ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคใหม่ๆ อย่าง Gen Alpha ที่มีความสนใจ experience product แน่นอนว่าปัจจุบันก็จะเห็นบิรษัทพัฒนาอสังหาฯรายใหญ่เข้าสู่ Metaverse กันบ้างแล้ว ประมาณ 30% แต่ผลจะสำเร็จหรือไม่นั้นคงตอบไม่ได้ แต่สุดท้ายโลกกำลังเปลี่ยนแปลงเราก็ควรจะต้องไปในแนวนั้น เช่น การทำคอนโดฯต่ำล้าน, การทำให้การประหยัดพลังงาน รักษ์โลก เข้าไปอยู่ใน DNA ขององค์กร เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกธุรกิจจะต้องปรับตัว