หุ้นไบโอเทค BIS เทรดวันนี้ ผู้บริหาร - FA มั่นใจ กระแสตอบรับดี อนาคตไกล ตั้งเป้ายอดขายเติบโตต่อเนื่อง จุดเด่น ชูยอดขายชุดตรวจโรคอหิวาห์ในสุกรปี 64 เติบโตกว่า 10 เท่า รุกขยายตลาดสัตว์เลี้ยง เริ่มขายแบรนด์ดัง Pedigree Cesar
ผู้บริหาร BIS สุดมั่น เข้าเทรดวันนี้ (5/5) กระแสตอบรับน่าพอใจ เป็นหุ้นวัคซีนและ ยาสัตว์ รายแรกในตลาดหุ้นไทย มั่นใจธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง เตรียมขยายกิจการทั้งปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง เริ่มขายอาหารสุนัข-แมว แบรนด์ดัง ดันยอดขายโตแรง
นายสัตวแพทย์ ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) หรือ “BIS” กล่าวว่า ผมมีความมั่นใจ ว่าหุ้นไอพีโอ BIS จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี หลังจากได้รับความสนใจอย่างสูงในการโรดโชว์ และ จองซื้อหุ้น โดยหลังจากระดมทุนแล้วกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจะถือหุ้นรวมประมาณ 70% ซึ่งหุ้นเดิมของกลุ่มกรรมการและผู้บริหารติดไซเล้นท์พีเรียด (Silent period) ทั้งหมด หรือเท่ากับ 55% ตามเกณฑ์ของคณะกรรมการกลต. โดยในปี 2564 BIS มีกำไรสุทธิเติบโตสูงเป็น 69 ล้านบาท จากกำไรสุทธิ 54 ล้านบาทในปี 2563 และ BIS มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 1,987 ล้านบาท จากปี 2563 ที่มีรายได้รวม 1,784 ล้านบาท
แม้จะเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์โดยตรง โดย BIS มีจุดเด่นหลายด้าน อาทิ การเป็นผู้นำเข้าวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ระดับโลก จากกลุ่มผู้ผลิตยาหลายกลุ่ม มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ทั่วประเทศ และสามารถสร้างสรรค์ นวัตกรรม ที่สามารถแก้ปัญหาด้านสุขอนามัยของโลก เช่น การผลิตชุดตรวจโควิด-19 แบบ Real time PCR ซึ่งเป็นผู้ผลิตไทยรายแรกที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองมาตรฐาน และการผลิตชุดตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร หรือ ASF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างสูง มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ปัจจุบัน รายได้หลักประมาณ 80% ของบริษัทฯ มาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำของอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 1,200,000 บาท (ไม่รวมมูลค่าการบริโภคในประเทศ) ในปี 2565 และประมาณ 20% ของรายได้มาจากธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงซึ่งมีการเติบโตสูง โดยบริษัทฯ คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ประเทศไทยเปิดเมือง ทำให้มีการบริโภคอาหารและเนื้อสัตว์เพิ่มมากขึ้น และการส่งออกอาหารเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีรายได้จากชุดตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (African swine fever : ASF) เติบโตเพิ่มขึ้น 10 เท่า จากนโยบายการตรวจเชิงรุกของลูกค้าภาคเอกชนรายใหญ่ ฟาร์มรายใหญ่และรายย่อยในปี 2564 และคาดว่าจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์และสัตว์เลี้ยงซึ่งจะขยายตัวตามสภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัว โดยบริษัทฯ เตรียมลงทุนเพื่อผลิตสินค้าแบรนด์ของบริษัทฯ เอง เพื่อเพิ่มรายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ (Nutrition Product) และลงทุนเพิ่มเติมในการพัฒนาวัคซีนสำหรับสัตว์เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ทดแทนการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ”
ในตลาดสัตว์เลี้ยง BIS ได้เซ็นสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายอาหารสุนัขระดับโลก แบรนด์ Pedigree และอาหารแมว แบรนด์ Cesar ให้กับกลุ่ม บริษัท มาร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่มกราคมปีนี้ โดยมุ่งทำตลาดในกลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ และคลินิครักษาสัตว์ทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง และคาดว่าจะได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ด้านรายได้รวมผู้บริหารมองว่า รายได้รวมน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกขยายตัวดีขึ้น การเปิดเมืองช่วยเพิ่มการผลิตและบริโภคเนื้อสัตว์ ส่วนรายได้จากกลุ่มชุดตรวจโรคสัตว์คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องเพราะมีความจำเป็นต่อฟาร์มปศุสัตว์ในการป้องกันการระบาดของโรค นอกจากนี้ BIS ยังได้ปัจจัยหนุนจากกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยงซึ่งคาดว่ายอดขายแบรนด์ Pedigree และ Cesar จะทำให้ยอดขายกลุ่มสัตว์เลี้ยงเติบโตอย่างมีนัยยะ ซึ่งด้วยปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้น ผู้บริหารตั้งเป้าว่ารายได้รวมน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2564 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20”
กลุ่มไบโอซายน์ หรือ “BIS” เป็นเจ้าของแบรนด์เวชภัณฑ์สำหรับสัตว์หลากหลายแบรนด์ โดยมีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตนเองที่ได้มาตรฐานสากล บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพสัตว์ครบวงจร คือ 1.ผลิตภัณฑ์รักษาและป้องกันโรคสำหรับสัตว์ (Animal Health Product) 2. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ (Nutrition Product) 3. ผลิตภัณฑ์เพื่อการวินิจฉัยโรคสำหรับสัตว์ (Diagnostic Product) 4. ผลิตภัณฑ์อาหารเม็ดสำเร็จรูปสำหรับสัตว์ (Complete Feed Product) 5. ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอาหารสัตว์ (Ingredient Product) 6. ผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยบริษัทฯ มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่จำนวนมากในอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารสูงติดอันดับโลก เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในครัวของโลก
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ในการนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายของบริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผมมีความมั่นใจว่า หุ้น BIS จะได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มนักลงทุนระยะยาว และกลุ่มนักลงทุนรายย่อย เนื่องจาก BIS มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสเติบโตสูง โดยบริษัทอยู่ในธุรกิจด้านไบโอเทคซึ่งเป็น 1 ในอุตสาหกรรม New S-Curve ของรัฐบาล อีกทั้ง BIS มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ และ ความสัมพันธ์ที่ดียิ่งกับลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจจำนวนมากทั้งบริษัทไทยและบริษัทระดับนานาชาติ นอกจากนี้ BIS ยังอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์สัตว์ ซึ่งเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีความสำคัญและมีมูลค่าสูง จึงมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องไปกับอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารสูงติดอันดับโลก
ทั้งนี้ BIS ได้ระดมทุนโดยการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 94 ล้านหุ้น ที่ราคา 6.00 บาท/หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท) หรือคิดเป็น 29.94% ของทุนจดทะเบียนหลัง IPO คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนประมาณ 564 ล้านบาท และมีกำหนดการจะเริ่มเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 นี้
ลักษณะการประกอบธุรกิจ บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIS
บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIS เป็นผู้นำในด้านการดูแลสุขภาพกลุ่มปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร คือ 1.ผลิตภัณฑ์รักษาและป้องกันโรคสำหรับสัตว์ (Animal Health Product) 2. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ (Nutrition Product) 3. ผลิตภัณฑ์เพื่อการวินิจฉัยโรคสำหรับสัตว์ (Diagnostic Product) 4. ผลิตภัณฑ์อาหารเม็ดสำเร็จรูปสำหรับสัตว์ (Complete Feed Product) 5. ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอาหารสัตว์ (Ingredient Product) 6. ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยบริษัทฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2547 มีทุนจดทะเบียน 157 ล้านบาท และมีทุนชำระแล้ว 110 ล้านบาท กลุ่มไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีคุณค่า ด้วยสินค้า บริการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเกี่ยวกับสัตว์ บริษัทฯ มีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 94 ล้านหุ้น (พาร์ 0.50 บาท) ให้นักลงทุนทั่วไป และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai และเตรียมก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านไบโอเท็คของประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนที่เติบโตอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน