CCP มอง Q2/65 ปัจจัยบวกโควิดคลี่คลาย ดันดีมานด์คอนกรีตฟื้น เผยงบ Q1/65 รายได้รวม 613.34 ล้านบาท กำไรสุทธิ 9.72 ล้านบาท
CCP มองทิศทางไตรมาส 2/65 สัญญาณฟื้นตัวดี ปัจจัยบวกสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในประเทศคลี่คลาย กระตุ้นการลงทุนเอกชน นิคมอุตสาหกรรมเร่งก่อสร้าง งานโครงการภาครัฐหนุน มุ่งเน้นกลยุทธ์บริหารจัดการต้นทุน เพิ่มความสามารถทำกำไร เร่งพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ ลุยประมูลงานเพิ่ม เติม Backlog ไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 1/65 รายได้รวม 613.34 ล้านบาท กำไรสุทธิ 9.72 ล้านบาท
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานไตรมาส 2/65 คาดสัญญาณฟื้นตัวดี ปัจจัยบวกสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในประเทศคลี่คลายลง ทั้งจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตที่ลดลงสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้ผู้ประกอบธุรกิจ กลับมาลงทุนโครงการต่าง ๆ ของภาคเอกชน นิคมอุตสาหกรรมเร่งก่อสร้าง ประกอบกับ ปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจงานโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐในหลายโครงการ อาทิ งานก่อสร้างถนนของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท โครงการพิเศษทางหลวงระหว่างเมือง ส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์คอนกรีตมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทให้ความสำคัญและระมัดระวังต่อปัจจัยเสี่ยงจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาเชื้อเพลิงและ ต้นทุนวัตถุดิบ มุ่งเน้นกลยุทธ์บริหารจัดการต้นทุน โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารงานภายในองค์กร ระบบการขายและกระบวนการผลิต ช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย เพิ่มความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น ปัจจุบัน บริษัทได้ติดตั้ง Solar roof บริเวณโรงงานผลิต และอยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลด้านพลังงาน เชื้อเพลิงทางเลือกเพิ่มเติม เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงด้านพลังงาน
นอกจากนี้ บริษัทเร่งพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ ที่ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน แก้ปัญหาการก่อสร้าง ลดต้นทุน สำหรับงานโครงสร้างพื้นฐานและเอกชนได้อย่างหลากหลาย รองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าประมูลงานเข้ามาเพิ่มอีกในอนาคต เพื่อรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ไว้ไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท
สำหรับ ผลประกอบการไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 613.34 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 675.08 ล้านบาท หรือลดลง 9.14 % และมีกำไรสุทธิ 9.72 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24.49 ล้านบาท หรือลดลง 60.31 %
ทั้งนี้ รายได้รวมและกำไรสุทธิ ปรับตัวลดลงเนื่องจาก ต้นทุนเชื้อเพลิงและวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับเกิดการผันผวนด้านราคา ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องพิจารณาเลื่อนการลงทุนบางโครงการออกไป