กรุงไทยชี้เทรนด์ผลิตภัณฑ์ชีวภาพกลุ่ม Biochemical มาแรง เป็นโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มภาคเกษตรไทย
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ชี้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพในกลุ่ม Biochemical มีแนวโน้มเติบโต จากการที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ที่เน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน (เศรษฐกิจชีวภาพ - เศรษฐกิจหมุนเวียน - เศรษฐกิจสีเขียว : BCG Economy) ซึ่งจะสร้างโอกาสในการต่อยอดธุรกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้แก่ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาล โรงงานแป้งมันสำปะหลัง และโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เนื่องจากไทยมีความได้เปรียบด้านแหล่งวัตถุดิบสินค้าเกษตร ซึ่งผลิตภัณฑ์ Biochemical เป็นสารเคมีและผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ ที่สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องได้หลากหลาย มีมูลค่าเพิ่มสูง สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ BCG Economy
“ตลาดนี้มีปัจจัยหนุนและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการบริโภคสินค้าที่ใส่ใจต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อีกทั้งช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรไทยได้ราว 18-188 เท่า นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างแข็งแกร่ง โดยตลาด Biochemical ของโลก คาดว่าจะมีมูลค่า 78,830 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2028 เติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 9.1% ส่วนมูลค่าตลาด Biochemical ในไทย คาดว่าจะมีมูลค่า 3,769 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 120,000 ล้านบาท ในปี 2028 คิดเป็นอัตราเติบโตที่ปีละ 14.2% ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตมากกว่าตลาดโลก”
นายอภินันทร์ สู่ประเสริฐ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลิตภัณฑ์ Biochemical ที่คาดว่าจะเติบโตดี ได้แก่ สารที่ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร เช่น สารให้ความหวาน สารที่เพิ่มโภชนาการในอาหารหรือสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย รวมถึงสารที่ใช้เป็นส่วนประกอบของยาและเครื่องสำอาง รวมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยหากไทยมีการลงทุนต่อยอดไปในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้มากขึ้น นอกจากจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรไทยแล้ว ยังช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ไทยต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล่านี้สูงกว่า 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี หรือกว่า 47,000 ล้านบาท
“ผู้ประกอบการสินค้าเกษตรที่น่าจะมองหาโอกาสในการเข้าสู่ตลาดนี้ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาล โรงงานแป้งมันสำปะหลัง และโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สามารถต่อยอดได้จากธุรกิจเดิม โดยมีประสบการณ์และวัตถุดิบรองรับอยู่แล้ว การต่อยอดไปสู่ตลาด Biochemical จึงไม่ใช่เรื่องยาก จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการตั้งแต่ระดับเอสเอ็มอีไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่”
นายกฤชนนท์ จินดาวงศ์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS แนะนำว่า จากการที่ผลิตภัณฑ์ Biochemical ส่วนใหญ่ยังเป็นการผลิตที่ต้องมีการลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างเข้มข้น ดังนั้น ปัจจัยที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต Biochemical ได้ คือภาครัฐจะต้องมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการลงทุน อีกทั้งการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถต่อยอดสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตสินค้าเกษตรอยู่แล้ว ขณะที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญเรื่องแหล่งวัตถุดิบที่เพียงพอ เพราะต้นทุนหลักของธุรกิจนี้มาจากวัตถุดิบเป็นหลัก รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกันทั้ง Ecosystem ไม่ว่าจะด้านหน่วยงานวิจัยและให้คำปรึกษาของภาครัฐหรือสถาบันการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพถูกนำไปใช้ให้หลากหลาย และตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น