อาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) ได้เปิดเผยรายงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ประจำปี พ.ศ. 2565 ซึ่งระบุว่า บริษัทสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ทั้งหมด 619,944 ตัน จากการเปลี่ยนแปลงแหล่งที่มาของพลังงาน โดยมีการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นในปีงบประมาณสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565 (FY2022) ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

ในช่วงเวลาดังกล่าว พลังงานไฟฟ้า 21.6% ที่ถูกใช้ในระบบ อาลีบาบา คลาวด์ (Alibaba Cloud) ซึ่งเป็นแกนหลักทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาของอาลีบาบานั้น ล้วนมาจากพลังงานสะอาด ในขณะเดียวกัน ศูนย์ข้อมูลของบริษัท ก็ยังมีตัวเลขมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้า (Power Usage Effectiveness) หรือ ค่า PUE เฉลี่ยอยู่ที่ 1.247 ต่อปี ซึ่งเป็นมาตรฐานชั้นนำของเอเชีย

อาลีบาบา คลาวด์ มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนระบบ โดยอาศัยพลังงานสะอาดทั้งหมด ภายปี 2573

รายงานยังได้กล่าวถึงการจัดลำดับของ Bloomberg New Energy Finance ปี 2564 (Bloomberg NEF) ที่ระบุว่า อาลีบาบาเป็นผู้ซื้อพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดจากบรรดาบริษัทสัญชาติจีนทั้งหมด โดยแค่ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 อาลีบาบาได้ซื้อพลังงานสะอาดไปแล้วไม่ต่ำกว่า 800 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เพิ่มขึ้น 150% จากของปี 2564 ทั้งปี

ในปีงบประมาณ 2565 ไช่เหนียว (Cainiao) บริษัทโลจิสติกส์ของอาลีบาบา ได้นำอัลกอริทึมอัจฉริยะเข้ามาวิเคราะห์ขนาดผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเลือกบรรจุภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม กระบวนการนี้ทำให้บริษัทสามารถลดการใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ลงได้ เฉลี่ย 15% นอกจากนี้ บริษัทยังติดตั้งแหล่งพลังงานโซลาเซลล์ในคลังสินค้า ซึ่งมีกำลังผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ถึง 24.9 เมกะวัตต์ เทียบเท่ากับการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 16,000 ตัน

ไช่เหนี่ยว ได้กระตุ้นให้ลูกค้านำบรรจุภัณฑ์มารีไซเคิล

“วิสัยทัศน์ของอาลีบาบาคือการเป็นบริษัทที่ดีที่จะมีอายุยืนยาวถึง 102 ปี” แดเนียล จาง ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอาลีบาบา กรุ๊ป ได้กล่าวในสารจากประธานกรรมการ ในรายงาน ESG “พันธกิจนี้จำเป็นต้องอาศัยความสามารถในการปรับตัวได้อย่างฉับไว เพื่อรับมือกับทุกภาวะเศรษฐกิจที่หมุนเวียนมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนความท้าทายที่ไม่อาจคาดคิด วิสัยทัศน์แรกเริ่มของเรา เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเรามองการไกลและมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ชุมชนของเรากำลังเผชิญอยู่ ตลอดจนสร้างมูลค่าให้เราเป็นมากกว่าบริษัทที่มุ่งสร้างผลลัพธ์เชิงพาณิชย์เท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้องค์กรของเรามีสุขภาพที่ดีและยั่งยืนต่อไปได้ถึง 102 ปี เราจึงต้องจัดการกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับสังคมโดยรวม และการกำกับดูแลกิจการในระยะยาวของบริษัท”

 

“การวางแผนกลยุทธ์ ESG ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการบรรลุพันธกิจของบริษัท เพราะ ESG ไม่เพียงแต่นำเสนอกรอบการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อจัดการกับความเสี่ยงและความท้าทายนานัปการ แต่ยังมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ในฐานะมาตรฐานสากลสำหรับการประเมินมาตรฐานการประกอบกิจการที่ดี” แดเนียล จาง กล่าวเสริม

รายงาน ESG ยังเน้นย้ำว่า ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีแห่งโลกยุคใหม่ อาลีบาบามีเป้าหมายที่จะช่วยแบกรับความรับผิดชอบต่อการบรรเทาความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและสังคม การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ได้สร้างสายสัมพันธ์และความร่วมมือแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ผลประโยชน์ทางการค้าโลกและการพัฒนาเศรษฐกิจ สามารถกระจายตัวไปยังภูมิภาคต่างๆ ของโลกได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาลีบาบาตั้งใจที่จะผลักดันการขับเคลื่อนด้านนวัตกรรมดิจิทัลอย่างเต็มกำลัง ตลอดจนสร้างความมั่นใจว่าทุกคนและทุกชุมชนที่ใช้บริการนวัตกรรมของบริษัท จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

บริษัทได้ตั้งปณิธานเชิงกลยุทธ์ของ ESG 7 มิติ ได้แก่ การฟื้นฟูโลกสีเขียว การสนับสนุนส่งเสริมทรัพยากรมนุษย์ การใช้ชีวิตดิจิทัลอย่างยั่งยืน การเติมไฟให้กับธุรกิจขนาดเล็ก การสร้างชุมชนที่มีความสามัคคีและยืดหยุ่นต่อทุกสถานการณ์ การสร้างการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคม และสุดท้าย การสร้างความไว้วางใจ

รายงาน ESG ประจำปี 2565 ของอาลีบาบาเป็นฉบับต่อ เพื่ออัพเดตความคืบหน้าจากครั้งแรก ที่มีการประกาศคำมั่นสัญญาไว้ใน รายงานการดำเนินการความเป็นกลางทางคาร์บอนของอาลีบาบา ที่เผยแพร่ไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ว่าบริษัทจะมุ่งมั่นสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนสำหรับ สโคป 1 กับ 2 และตั้งเป้าที่จะลดความเข้มข้นของคาร์บอนลง 50% ใน สโคป 3 ภายในปี 2573 นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่ม สโคป 3+ ขึ้นอีกหนึ่งมิติ โดยมีเป้าหมายเพื่อการกำจัดคาร์บอนเพิ่มเติม 1.5 กิกะตัน ทั่วทั้งระบบนิเวศของอาลีบาบา ภายในปี 2578