เนอวานา เตรียมเปิดตัวแฟลกชิพแบรนด์ (Flagship Brand) โครงการใหม่ ในเซกเม้นต์บ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรี (Ultra Luxury) มูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท บนทำเลติดถนนใหญ่กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ และเตรียมดันแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “เนอวานา แอบโซลูท” บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 3 ชั้น บน 3 ทำเลศักยภาพใจกลางเมือง บางนา เอกมัย-รามอินทรา และกรุงเทพกรีฑา มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ “เนอวานา ดีฟายน์” โดยเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ มูลค่า 1,000 ล้านบาท บนทำเล เอกมัย-รามอินทรา ซึ่งยังคงคอนเซปท์ “ทาวน์โฮมที่เป็นได้...มากกว่าบ้านเดี่ยว” จุดแข็งที่สร้างความแตกต่างจากพรีเมียมทาว์นโฮมทั่วไป

นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘NVD’ เปิดเผยว่า ช่วงปลายปีนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวแฟลกชิพแบรนด์โครงการใหม่ ซึ่งจะเป็นเซกเม้นต์บ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรี (Ultra Luxury) ราคา 70-120 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท ติดถนนใหญ่กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ และอยู่ใกล้คอมมูนิตี้ มอลล์ (Community Mall) ซึ่งจะพัฒนาโดยบริษัทอีกด้วย ถือได้ว่าเป็นแฟลกชิพโปรเจคที่ทางเนอวานามีความตั้งใจพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้เมือง รองรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ (Nouveau Rich) ที่มองหาประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สวยงามและสะท้อนภาพลักษณ์ตัวตน เน้นความสุขของสมาชิกทุกเจนเนอร์เรชันในบ้านที่อยู่ร่วมกันในสังคมคุณภาพ และยังตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับนี้ โดยเฉพาะการที่ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันรวมถึงวัสดุตามที่ต้องการ (Customizable function) ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบที่สร้างชื่อเสียงของเนอวานามาเป็นเวลานาน โดยโครงการนี้มีแบบบ้านให้เลือกถึง 5 แบบ บนขนาดที่ดิน เริ่มต้น 80-180 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 500-1,000 ตารางเมตร ราคา 70-120 ล้านบาท         

นอกจากนี้ เนอวานา ยังเตรียมดันแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “เนอวานา แอบโซลูท” บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 3 ชั้น บน 3 ทำเลศักยภาพใจกลางเมือง บางนา, เอกมัย-รามอินทรา และกรุงเทพกรีฑา มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปท์ “บ้านที่ใช่...ในทุกความรู้สึก” ที่จะมาเสริมเซกเม้นต์บ้านในระดับราคา 12-25 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าผู้บริหารรุ่นใหม่ (Young Executive) ด้วยการออกแบบที่เน้นดีไซน์ภายนอกและภายในบ้าน เพื่อศิลปะการใช้ชีวิต แบบ Mass & Void ผสานธรรมชาติภายนอก สู่การใช้ชีวิตด้วยความ“สุนทรีย์” เน้นความเป็นส่วนตัว ช่องแสงธรรมชาติและพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีความพอดี ตอบโจทย์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่เพื่อวันนี้และอนาคต การดีไซน์ด้านหน้าของบ้าน (Façade) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามสไตล์ของเนอวานา บนขนาดที่ดินเริ่มต้น 38-120 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 210-329 ตารางเมตร ราคา 12-25 ล้านบาท

อีกหนึ่งโครงการที่ประสบความสำเร็จ คือ พรีเมียมทาวน์โฮมภายใต้แบรนด์ “เนอวานา ดีฟายน์” ซึ่ง 2 โครงการที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม โดยโครงการแรกอยู่บนย่านพระราม 9 ซึ่งขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียง 4 วัน หลังเปิดตัว เป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางของการเปิดตัวโครงการในช่วงเวลานั้นเลยทีเดียว และต่อมา เนอวานา ดีฟายน์ ได้เปิดตัวอีกโครงการ บนทำเลกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ก็ได้การตอบรับที่ดีมากเช่นกัน ขณะนี้กวาดยอดขายไปแล้วกว่า 90%  ในการออกแบบทาวน์โฮมโครงการใหม่นี้ มีฟังก์ชันพิเศษคือเป็นทาวน์โฮมแห่งแรกที่มี Rooftop Garden และพื้นที่สีเขียวภายในบ้านที่ง่ายต่อการดูแลรักษา ซึ่งเนอวานาให้ความสำคัญกับพื้นที่การใช้สอยที่รองรับความต้องการของสมาชิกทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องอเนกประสงค์สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งการปรับแบบบ้านใหม่ทั้งหมดนี้ เพื่อให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ตอบโจทย์การใช้งานของผู้อยู่อาศัยให้มากที่สุด สำหรับโครงการเนอวานา ดีฟายน์ เอกมัย-รามอินทรา มีแบบบ้านทั้งหมด 3 แบบ บนขนาดที่ดินเริ่มต้น 21-50 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 190-230 ตารางเมตร ราคา 7.79-12 ล้านบาท

ด้วยคอนเซปท์พรีเมียมทาวน์โฮมของ “เนอวานา ดีฟายน์” ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ทั้งในส่วนของฟังก์ชั่นการใช้สอยและทำเลที่อยู่ใจกลางเมืองเดินทางสะดวก บริษัทเชื่อมั่นว่าโครงการใหม่นี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างแน่นอน โดยในขณะนี้ มียอดผู้ลงทะเบียนสนใจโครงการมากกว่า 300 รายแล้ว หลังจากมีการโพสต์เปิดตัวโครงการบนโซเชียลมีเดียไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เนอวานา ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไว้ที่ 300 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด

“ปัจจุบันบ้านแนวราบได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคมีพฤติกรรมในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแตกต่างไปจากเดิม ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและการทำงานเปลี่ยนแปลงไป เน้นการใช้เวลาในบ้านมากขึ้น จึงต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นและสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับการใช้งาน เป็นสัดส่วนและมีความเป็นส่วนตัว รวมทั้งมีความปลอดภัยอีกด้วย” นายศรศักดิ์ กล่าว นอกจากนี้ ราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาที่ดินและวัสดุก่อสร้างในอนาคต ถึงแม้ปัจจุบัน บริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายรายจะยังคงตรึงราคาบ้านไว้ ดังนั้นหากผู้บริโภคต้องการซื้อบ้านไม่ว่าจะอยู่เองหรือลงทุนในอนาคต ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมอย่างยิ่งบริษัทเชื่อมั่นว่า แผนการเปิดตัว 5 โครงการใหม่ในปีนี้ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท จะได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า เนื่องด้วยเซกเม้นต์ของสินค้ารวมถึงทำเลโครงการ ตั้งอยู่ในโซนที่มีความต้องการและมีกำลังซื้อค่อนข้างสูงจากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขาย 2,000 ล้านบาทภายในปีนี้