ANANDA 2023 จาก BIG MOVE มาสู่ RIDE THE WAVE ลุย 10 โครงการ มูลค่ากว่า 21,200 ล้านบาท
ANANDA 2023 ประกาศปีแห่งความแข็งแกร่งทุกสายงานธุรกิจ จาก BIG MOVE มาสู่ RIDE THE WAVE ลุย 10 โครงการ มูลค่ากว่า 21,200 ล้านบาท พร้อมสินค้าพร้อมอยู่พร้อมโอนบนทำเลที่ดีที่สุด 45,000 ล้านบาท พร้อมเปิด 2 โครงการแฟลกชิพใหม่ มูลค่า 14,600 ล้านบาท ลุยขยายไลน์ธุรกิจใหม่ และพร้อมมุ่งสู่แบรนด์ที่เข้าใจคนเมืองมากที่สุด
บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า มั่นใจตลาดอสังหาริมทรัพย์มีสัญญาณการฟื้นตัว โชว์ศักยภาพความเป็นผู้นำสู่แบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจคนเมืองมากที่สุด ผนึกกำลังเสริมความพร้อมในทุกสายงานธุรกิจขององค์กร มุ่งสู่การสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด รับดีมานด์ต่างชาติแห่ซื้ออสังหาฯไทย มองเห็นโอกาสหลังจีนเปิดประเทศ มั่นใจโครงการพร้อมอยู่พร้อมโอนครอบคลุมทุกทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ กว่า 45,000 ล้านบาท ตอบโจทย์ทั้งตลาดในประเทศ และตลาดต่างชาติ
โดยปี 2566 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารับรู้รายได้ 14,500 ล้านบาท (เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมา) เป้ายอดขาย 18,000 ล้านบาท พร้อม เปิดใหม่ 2 โครงการแฟลกชิพ มูลค่า 14,600 ล้านบาท และขยายไลน์ธุรกิจใหม่ สู่ APSMC (Ananda Professional Services and Management Consultancy) ในแบบ Total Solutions และเตรียมออกหุ้นกู้มูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตตามแผนที่วางไว้
คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 ถือเป็นปีแห่งโอกาส โดยเริ่มเห็นสัญญาณบวกต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ที่มีแนวโน้มการเติบโตตามสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังมีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ สำหรับอนันดาฯ ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่สามารถเข้าถึงและเข้าใจลูกค้าคนเมืองทั้งตลาดคอนโดและแนวราบในเมืองได้เป็นอย่างดีจึงพร้อมเดินหน้าภายใต้แนวคิด “Ananda Ride the Wave” เพื่อเตรียมรับโอกาสที่กำลังจะเข้ามา ซึ่ง อนันดาฯ มองเห็นโอกาสจากการที่ต่างชาติเปิดประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนที่มีความต้องการโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่พร้อมโอนบนทำเลศักยภาพ นอกจากนี้ อนันดาฯ มีความพร้อมเป็นอย่างมากเพื่อรองรับดีมานด์ดังกล่าว โดยมีสินค้าที่ดีและมีคุณภาพพร้อมอยู่พร้อมโอนบนทำเลที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ (Blue Chip Location) ครบทุกเซกเม้นท์ ในราคาที่ยังไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาของที่ดินที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพคอนโดติดรถไฟฟ้าว่ายังเป็นสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้ชีวิตของคนเมืองได้เป็นอย่างดี
มองว่า จีนจะกลับมา และสินค้าของอนันดาฯ เหมาะกับคนจีนมากที่สุด สำกรับคนจีนที่ต้องการที่อยู่สำรอง หรือบ้านหลังที่ 2 และคนจีนนั้นต้องการห้องพร้อมอยู่ ดังนั้น อนันดา มี stock ที่เป็น Blueship locations 30 โครงการ และอนันดาเป็นเจ้าเดียวที่มีโครงการกลางเมือง ติดรถไฟฟ้าจำนวนมาก ที่พร้อมเสิร์ฟให้ลูกค้าที่พร้อมซื้อ โครงการปรับตัวให้แม้กระทั่ง จาน ช้อน ชาม ให้พร้อมอยู่ และปรับการตกแต่งภายใน ให้ตอบรับกับ Persona ของลูกค้า แต่ละกลุ่ม
ตลอดจน Price Index ยิ่งราคาที่ดินสูงขึ้น การพัฒนาที่อู่อาศัยก็จำเป็นต้องสร้างที่อยู่อาศัยในแนวสูง ดังนั้น ยังไง urban life ก็กลับมา
อีกทั้งยังตอบรับโอกาสทางธุรกิจในส่วนของ Branded Residence ที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอนันดาฯ จับมือพันธมิตรระดับโลก (WORLD CLASS PARTNER) พร้อมสร้างปรากฏการณ์เซ็ตมาตรฐานบทใหม่แก่วงการอสังหาฯ เพื่อตอบโจทย์ดีมานด์ในระดับลักชัวรี่ที่เพิ่มสูงขึ้นของกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ด้วยการเปิดตลาด SUPER ULTRA LUXURY บนถนนสุขุมวิท ซึ่งจะเป็นที่สุดของความร่วมมือสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยในแบบ Branded Residence ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร ยังไงก็เป็นที่นิยมมองของคนทั้งเอเชีย สะท้อนได้จาก โครงการ Branded Residence ในโลกเรียงลำดับ คือ 1. Dubai 2. Miami 3. New York 4. Phuket 5. Bangkok และเห็นว่า ประเทศไทยของเรา ติดอันดับ ทั้งภูเก็ต และกรุงเทพฯ ในอันดับที่ 4 และ 5 ของโลก
ธุรกิจ Serviced Apartment ในปี 2566 นี้ มั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้ประจำ อย่างต่อเนื่อง ให้กับบริษัทในทุกทำเล ซึ่งเปิดให้บริการเต็มรูปแบบทั้ง 5 โครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
-โครงการซัมเมอร์เซ็ต พระราม 9
-โครงการแอสคอทท์ ทองหล่อ บางกอก
-โครงการแอสคอทท์ เอ็มบาสซี สาทร
-โครงการไลฟ์ สุขุมวิท 8 บางกอก
-โครงการซัมเมอร์เซ็ต พัทยา
ด้วยปัจจัยบวกโดยตรงจากการเปิดประเทศต่างๆ ซึ่งประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพและพัทยา ก็เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจอยู่ในระดับต้นๆของโลก
นอกจากนั้น ในปีนี้อนันดาฯ ยังมีแผนเปิดตัว Business Line ใหม่ ซึ่งจะดำเนินงานในรูปแบบของ Professional Services and Management Consultancy รับดำเนินงานบริหาร และพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ Total Solutions ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจาข้อตกลงขั้นสุดท้าย กับ บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อบริหารและพัฒนาโครงการแรกบนทำเล Prime Area บริเวณสุขุมวิท 38 (ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีทองหล่อ) ซึ่งจะเป็นโครงการในรูปแบบ Mix Used ที่ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ และ Food and Beverages โดยในอนาคตอันใกล้คาดว่าจะมีความร่วมมือในโครงการอื่นๆ ลักษณะเดียวกันนี้ทั้งกับทางแรบบิท โฮลดิ้งส์ และพันธมิตรรายอื่นๆ ต่อไป
ยังมุ่งพัฒนา ด้าน Tech Education เพื่อเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิตอล มีจุดมุ่งหมายให้ไทยก้าวทันการพัฒนาด้านดังกล่าวทัดเทียมหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน บริษัทฯ จึงจัดตั้ง The Master Academy (TMA) ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างทักษะและเสริมความคิดในทางธุรกิจผนวกกับเทคโนโลยีดิจิตอล โดยเริ่มจากการ upskill / reskill โครงการดังกล่าวเป็น ความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อเปิดตัวหลักสูตร The Data Master ทำหน้าที่ผลิตนักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลหรือ Data Scientists ซึ่งปัจจุบันมีไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศ โดยในอนาคตมีแผนที่จะพัฒนาสู่หลักสูตรอื่นๆ เช่น Blockchain และ Cyber Security ร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยเน้นการนำไปใช้ได้จริง รวมถึงความร่วมมือกับ Singularity University (SU) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
อนันดาฯ มีความมั่นใจว่า ด้วยโอกาสและปัจจัยบวกที่กำลังเข้ามาในปีนี้ บริษัทฯ มีสินค้าที่ดีที่สุดพร้อมอยู่พร้อมโอนบนทำเลศักยภาพ จะสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าคนเมืองได้ครบทุกเซกเม้นท์รวมถึงลูกค้าต่างชาติ และการขยายสู่ธุรกิจใหม่ของอนันดาฯ จะเป็นโอกาสที่ดีในการเติบโตของบริษัทฯอย่างแน่นอน
คุณประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อนันดาฯ มีแผนรองรับการกลับมาของตลาดอสังหาฯ และดีมานด์ของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างชาติ โดยการนำเสนอสินค้าพร้อมอยู่พร้อมโอนซึ่งมีโครงการ Inventory ที่แข็งแกร่งมูลค่าประมาณ 45,000 ล้านบาท แบ่งตามพอร์ตดังนี้ คือ
- โครงการที่เป็น RTM (READY TO MOVE) มูลค่า 34,880 ล้านบาท
- โครงการที่จะสร้างเสร็จ ในปี 2023 มูลค่า 10,012 ล้านบาท
พร้อมตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ 14,500 ล้านบาท (เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมา) เป้ายอดขาย 18,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯวางแผนการทำการตลาดในรูปแบบของ ANANDA URBAN CARAVAN นำโครงการพร้อมอยู่ ไปเสิร์ฟถึงมือให้กับกลุ่มลูกค้า GEN-C ด้วยกิจกรรม Roadshow สไตล์คนเมือง ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังเตรียมความพร้อมในการบุกตลาดต่างประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้าต่างชาติให้เพิ่มมากขึ้น โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพและแข็งแกร่ง เพื่อตอบรับการที่ต่างชาติเปิดประเทศ โดยนำโครงการระดับพรีเมี่ยมพร้อมการบริการที่มีมาตรฐานในระดับสากลออกสู่ตลาดต่างประเทศอีกครั้ง
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยืนยันในความแข็งแกร่งด้านการเงินรวมถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ทั้งการมีโครงการ Inventory บนทำเลที่ดีที่สุดรองรับการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าจะมีรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน ในส่วนของการสนับสนุนจากพันธมิตรยังคงได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีและต่อเนื่อง จากพันธมิตรชั้นนำระดับอินเตอร์เนชั่นแนล และพันธมิตรชั้นนำของไทย เป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน
สำหรับ แผนการเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ ซึ่งเป็น โครงการในระดับแฟลกชิพ มูลค่ากว่า 14,600 ล้านบาท โดยประกอบด้วย
1. New Branded Residence บนทำเลใจกลางสุขุมวิท ซึ่งเป็นความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก (World Class Partner) ที่ถือได้ว่า จะเป็นที่สุดของความร่วมมือในการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ซึ่งมูลค่าโครงการประมาณ 6,500 ล้านบาท
2.โครงการ ไอดีโอ พหล – สะพานควาย เพียง 0 ม. จากรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย กับ Design Concept ใหม่ห้อง Hybrid New Series เพื่อชีวิตคน GEN C ด้วยที่สุดของทำเล อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ ของคนเมือง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ และส่วนกลางแนวคิดใหม่ เพื่อทุกโหมดของการใช้ชีวิต LIVE – WORK – PLAY – LEARN มูลค่าโครงการประมาณ 8,100 ล้านบาท
แผนลงทุนในอนาคตสำหรับปี 2566 บริษัทฯ มีแผนการลงทุน 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 21,200 ล้านบาท ประกอบด้วย
- โครงการแนวราบ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,200 ล้านบาท
- โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท
- ธุรกิจ Serviced Apartments จำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาทโดยทั้งหมดคาดว่าจะเป็นโครงการร่วมทุน ( JV )
ล่าสุด road show แล้ว เมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา ที่ฮ่องกง และ พม่า