“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” โชว์ความสำเร็จ “The Origin Collection” หลังยกทัพเปิดตัวคอนโด “ดิ ออริจิ้น” โครงการใหม่ครั้งแรกในรอบ 4 ปี พร้อมกัน 9 ทำเลช่วงงานมหกรรมบ้านและคอนโด กวาดยอดขายทั่วไทยทุกช่องทางทะลุ 2,000 ล้าน ขณะที่บ้าน-คอนโดทั้งเพื่ออยู่อาศัยและ IP Program ยังคึกกวาดยอดงานมหกรรม New High 800 ล้านบาท ชี้ทำเลปังทั่วประเทศ-ฟังก์ชันตอบโจทย์คนรุ่นใหม่-ราคาเข้าถึงได้ หนุนกระแสการตอบรับเยี่ยม คาดตลาดอสังหาฯครึ่งแรกปี 66 กำลังซื้อในประเทศแกร่ง ตลาดต่างชาติคึกคัก รถไฟฟ้าสายสีเหลืองเตรียมเปิดใช้ เม.ย.ดันยอดโตต่อเนื่อง

นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทประกาศเปิดตัว ดิ ออริจิ้น คอลเลกชัน (The Origin Collection) ยกทัพเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมขวัญใจ Gen Z และ First Jobber อย่างแบรนด์ดิ ออริจิ้น (The Origin) เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี พร้อมกัน 9 ทำเลทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ ในช่วงงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 43 บริษัทได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากทุกช่องทางการขายทั่วไทย ส่งผลให้มียอดขายแบรนด์ดิ ออริจิ้น มากถึง 1,500 ยูนิต หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท

“แบรนด์ดิ ออริจิ้น เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ เราให้ทั้งฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ ทำเลที่โดนใจ พร้อมกับราคาที่เข้าถึงได้ และเป็นราคาที่หาที่อื่นไม่ได้ เช่น โครงการดิ ออริจิ้น เซ็นทรัล ภูเก็ต (The Origin Central Phuket) ที่มีราคาเริ่มต้นเพียง 1.29 ล้านบาทเท่านั้น นอกจากนี้ เรายังมีความสำเร็จของ 6 โครงการที่เปิดตัวเมื่อปี 2562 เป็นเครื่องยืนยันคุณภาพ ทั้งหมดส่งผลให้ The Origin Collection ได้รับความไว้วางใจและได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ขณะเดียวกัน ภาพรวมงานมหกรรมบ้านและคอนโดในครั้งนี้ บริษัทก็ได้รับการตอบรับอย่างดี มียอดขายในช่วง 4 วัน ทำ New High ถึงกว่า 200 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท โดยมาจากโครงการคอนโดมิเนียมทุกเซ็กเมนท์ ทั้งระดับ Mid-end ถึง High-end อาทิ แบรนด์ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) และออริจิ้น เพลซ (Origin Place) แบรนด์คอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน (Investment Property) เช่น แบรนด์แฮมป์ตัน (Hampton) และแฮมป์ตัน เรสซิเดนซ์ (Hampton Residence) รวมถึงโครงการบ้านหลากหลายแบรนด์ภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ที่มาร่วมออกบูธพร้อมกัน ก็ได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยม

 

เบื้องต้น บริษัทประเมินว่าปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของผู้บริโภคจนสามารถสร้างยอดขาย New High ในครั้งนี้ ได้แก่ 1.การยกทัพโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมคุณภาพ 49 โครงการ ครอบคลุมหลากหลายเซ็กเมนท์ หลากทำเลทั่วประเทศมาออกงานพร้อมกัน ส่งผลให้มีตัวเลือกที่ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค 2.ฟังก์ชันและดีไซน์ของทุกแบรนด์รองรับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ มีพื้นที่ส่วนกลางแบบเฉพาะตัว ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยในแต่ละทำเล และ 3.การจัดโปรโมชั่นโดนใจผู้บริโภค ทั้งส่วนลดและบัตรกำนัลที่พักในโรงแรมชื่อดัง รวมถึงข้อเสนอพิเศษผ่อนต่ำ ดอกเบี้ยถูกจากพันธมิตรธนาคาร

 

นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากหลากหลายปัจจัยบวก ทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศที่แข็งแกร่งมากขึ้น หลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้นตัวเต็มรูปแบบ และการกลับมาของกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติที่เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เทียบเท่าก่อน COVID-19 ความคืบหน้าของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่มีกำหนดจะเปิดให้บริการในเดือน เม.ย. นี้

 

ทั้งนี้ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีแผนพัฒนาโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมใหม่ในหลากทำเลคุณภาพ ครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์ พร้อมรองรับผู้บริโภคและนักลงทุน ตอกย้ำฐานะผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร โดยในช่วงไตรมาส 2/2566 จะยังคงมีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวม 8 โครงการ

สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 123 โครงการ (ณ สิ้นปี 2565) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 185,791 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการบริหารอาคารชุด ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร