ESR ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมระดับโลก เดินเกมรุกขยายฟุตปรินท์ในไทยเป็นครั้งแรก
- ปัจจุบัน ESR มีโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ (แหลมฉบัง) และนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) มูลค่าการลงทุน 8,000 ล้านบาท (235 ล้านเหรียญสหรัฐ) คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จในปี พ.ศ 2568 และ พ.ศ 2569 ตามลำดับ
- ในอีก 5 ปีข้างหน้า ESR ตั้งเป้าลงทุนเพิ่มในประเทศไทยอีก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐซึ่งเป็นการระดมทุนจากกองทุนพัฒนาของบริษัทฯ สอดคล้องกับมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่คาดการณ์ไว้ในระหว่างปี พ.ศ 2565-2570 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) 3.28%[1]
- การขยายธุรกิจของ ESR ในไทยช่วยสร้างอาชีพมากขึ้น โดยกลุ่มบริษัทฯ พร้อมที่จะนำความรู้และความชำนาญระดับสากลมาถ่ายทอดและประยุกต์ใช้ เพื่อยกระดับแรงงานในท้องถิ่นและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภายภาคหน้า
บริษัท อีเอสอาร์ กรุ๊ป ลิมิเต็ด (“ESR” หรือ “บริษัทฯ”) ผู้บริหารจัดการทรัพย์สินและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งขับเคลื่อนการเติบโตโดยกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ ประกาศขยายธุรกิจในประเทศไทย พร้อมเปิดตัวสำนักงานแห่งแรกของประเทศไทย
ปัจจุบัน ESR มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในประเทศไทย จำนวน 2 โครงการ มูลค่าการลงทุน 8,000 ล้านบาท (235 ล้านเหรียญสหรัฐ) โครงการแห่งแรกตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ ภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ (แหลมฉบัง) ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีถึงท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)[2] [ซึ่งเป็นเขตส่งเสริมกิจการพิเศษโดยหน่วยงานภาครัฐเพื่อส่งเสริมการลงทุน ยกระดับนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศไทย]โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 100 ไร่ (160,000 ตารางเมตร) และพื้นที่อาคารรวม (Gross Floor Area: GFA) ขนาด 93,000 ตารางเมตร คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จในช่วงปลายปี พ.ศ. 2568
Jeffrey Shen and Stuart Gibson, ESR Group Co-founders and Co-CEOs
โครงการที่สองตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) มีพื้นที่รวมประมาณ 225 ไร่ (363,500 ตารางเมตร) และพื้นที่อาคารรวม (GFA) 253,500 ตารางเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2569โดยโครงการมีจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ ถนนเส้นสำคัญที่สะดวกต่อการเดินทางยังใจกลางกรุงเทพฯ รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญอีกหลายแห่งในประเทศไทย และท่าเรือแหลมฉบัง เหมาะสมกับธุรกิจโลจิสติกส์ในการใช้เป็นฮับกระจายสินค้าไปยังทั่วประเทศ ผู้ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซ ศูนย์รวมและกระจายสินค้าผ่านการขนส่งทางอากาศ ตลอดจนธุรกิจขนส่งสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ
คุณเจฟฟรีย์ เชิน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารร่วม ESR
คุณสจ๊วต กิ๊บสัน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารร่วม ESR
คุณเจฟฟรีย์ เชิน และคุณสจ๊วต กิ๊บสัน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารร่วม ESR กล่าว "หนึ่งในหลักการสร้างการเติบโตของบริษัทฯ คือการลงทุนในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ซึ่งหมายรวมถึงธุรกิจโลจิสติกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ วิทยาศาสตร์เพื่อคุณภาพชีวิต (Life Sciences) และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก การขยายฟุตปรินท์ในประเทศไทยครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นการขยายธุรกิจ สร้างความแข็งแกร่งเชิงกลยุทธ์ให้แก่ธุรกิจ โดยประเทศไทยมีการพัฒนาสู่ความเจริญอย่างรวดเร็ว ประกอบกับมีจำนวนประชากรและกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความต้องการพื้นที่เพื่อรองรับกิจกรรมด้านโลจิสติกส์คุณภาพสูงเพิ่มมากขึ้น นอกจากด้านการเติบโตทางธุรกิจ ESR เล็งเห็นโอกาสการสร้างอาชีพและตำแหน่งงานในประเทศให้มากขึ้น และมุ่งเป็นส่วนหนึ่งแบ่งปันความรู้และถ่ายทอดความเชี่ยวชาญเพื่อยกระดับแรงงานในท้องถิ่นให้มีทักษะสูง ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในภายภาคหน้า พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งให้ความสำคัญด้านการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจ สังคม และ ธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) ควบคู่ไปกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและสอดคล้องกับแนวคิดความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยผลักดันประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”
เจ เมียร์ปูริ Head, Singapore Development & Thailand, ESR Group กล่าว "ด้วยประเทศไทยมีเศรษฐกิจเติบโตเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมียุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งสร้างเศรษฐกิจที่มีมูลค่า อาทิ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ โลจิสติกส์ ยานยนต์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ทำให้ประเทศไทยนับเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์สร้างการเติบโตของ ESR ในภูมิภาคนี้
ในอีก 5 ปีข้างหน้า ESR ตั้งเป้าลงทุนเพิ่มอีก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการระดมทุนจากกองทุนพัฒนาของบริษัทฯ โดยมูลค่าการลงทุนนี้สอดคล้องกับมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่คาดการณ์ไว้ในระหว่างปี พ.ศ 2565-2570 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) 3.28% บริษัทฯ เชื่อว่าทำเลยุทธศาสตร์ โซลูชั่นอาคารเพื่ออุตสาหกรรมที่เหนือกว่าคู่แข่งและตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ประกอบกับทีมงานมากด้วยประสบการณ์ จะดึงดูดผู้เช่าที่เป็นบริษัทข้ามชาติ (MNCs) ในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่และภาคธุรกิจที่มีการเติบโตสูงเข้ามาเป็นลูกค้าในอนาคตอันใกล้นี้”
ESR ดำเนินงานตามกรอบ ESG ที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ โดยอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในประเทศไทย สอดคล้องกับนโยบายระดับกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งให้ความสำคัญในการใช้งานอย่างครอบคลุมและยั่งยืน อาทิ การให้ความสำคัญกับการผลิตพลังงานหมุนเวียน การออกแบบที่ให้ความสำคัญต่อผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง การใช้พลังงานไฟฟ้าในการขนส่ง การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างการพัฒนาโครงการ โดยคุณลักษณะเหล่านี้จะได้รับการวางแผนออกแบบตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงพัฒนาเสร็จสิ้น โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและการใช้งานของผู้เช่าเป็นสำคัญ
นอกจากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทั้ง 2 แห่งนี้ กลุ่มบริษัทฯ จะมองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมในทำเลยุทธศาสตร์แห่งอื่นที่มีศักยภาพในการเติบโตด้านโลจิสติกส์ เช่น บางนา-ตราด, ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และวังน้อย จากนั้นจึงจะขยายไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น อาทิ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และขอนแก่น