บมจ.แอสเซทไวส์ หรือ ASW เผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2566 ทำรายได้รวม 4,799 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% และมีกำไรสุทธิ 608 ล้านบาท พร้อมทำยอดขาย 9 เดือน 11,784 ล้านบาท ไตรมาส 4 เตรียมโอนกรรมสิทธิ์โครงการใหม่อีก 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6,400 ล้านบาท พร้อมลุยเปิดคอนโดฯ-บ้านเดี่ยวอีก 5 โครงการใหม่ รวมมูลค่าโครงการ 15,100 ล้านบาท หนุนรายได้และยอดขายทั้งปีเติบโตแข็งแกร่ง

นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness”  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค.-ก.ย.) บริษัทฯ มีรายได้รวม (Revenue) อยู่ที่ 4,799 ล้านบาท เติบโต 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 608 ล้านบาท

ทั้งนี้ รายได้หลักมาจากการส่งมอบห้องชุดโครงการคอนโดมิเนียมที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จ ได้แก่ โครงการแอทโมซ พอร์ตเทรต ศรีสมาน (Atmoz Portrait Srisaman) มูลค่าโครงการกว่า 1,150  ล้านบาท, แอทโมซ ซีรีน ศรีราชา (Atmoz Serene Sriracha) มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท, โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง (Modiz Rhyme Ramkhamhaegn)  มูลค่าโครงการกว่า 1,800 ล้านบาท และโครงการ เคป เอวา (Kave AVA)  มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายสะสมรวม (Presale) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีอยู่ที่ประมาณ 11,784 ล้านบาท คิดเป็น 79% ของเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท

ซึ่งโครงการหลักที่ผลักดันยอดขายให้เติบโตในระดับที่น่าพอใจในไตรมาสนี้คือ โครงการโมดิซ อาวองการ์ด (Modiz Avantgarde) ซึ่งเป็น Campus Condo โครงการใหม่ใกล้ ม.ธรรมศาสตร์ จำนวนทั้งหมด 751 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท ซึ่งสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับไตรมาส 4/2566 บริษัทฯ ได้เตรียมโอนกรรมสิทธิ์โครงการใหม่อีก 4 โครงการ  มูลค่าโครงการรวม 6,400 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเคฟ โคโลนี (Kave  Colony) มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท,  แอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช (Atmoz oasis onnut) มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท, แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี (Atmoz Flow Minburi) มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท, ดิ อาเบอร์ ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ (The Arbor Donmueng Changwattana) มูลค่าโครงการ 1,050 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ ได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 5 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 15,100 ล้านบาท ได้แก่ 1.เคฟ วันเดอร์แลนด์ (Kave Wonderland) 1,424 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,550 ล้านบาท 2.แอทโมซ แคนวาส ระยอง (Atmoz Canvas Rayong)  674 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท 3.โมดิซ โวยาด ศรีนครินทร์ (Modiz Voyage Srinakarin) 813 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท 4.เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา (The Title Legendary Bang-Tao) 637 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท และ 5. โครงการ ดิ ออเนอร์ โยธินพัฒนา (The Honor Yothinpattana) บ้านเดี่ยว จำนวน 106 หลัง มูลค่าโครงการรวม 4,200 ล้านบาท ซึ่งจากแผนงานดังกล่าวจะทำให้บริษัทฯ มีรายได้และยอดขายเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ สำหรับตลาดคอนโดฯ กำลังซื้อกระจุกตัวอยู่ในบางเช็กเมนต์ เช่น คอนโดฯ รอบมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีกลุ่มคนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนและบริหารเงินด้วยการซื้อคอนโดฯ เพื่อรับผลตอบแทน รวมทั้งการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง จะเห็นได้จากการปิดการขายโครงการโมดิซ อาวองการ์ด (Modiz Avantgarde) คอนโดฯ ใหม่ใกล้ ม.ธรรมศาสตร์ ที่ปิดการขายได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่เปิดขายได้เพียงไม่นาน

“ ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 เชื่อว่าจะมีแนวโน้มที่ดี เพราะเศรษฐกิจมีสัญญาณบวกตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นไป จากแรงส่งการบริโภคภาคเอกชนและภาคบริการที่ขยายตัวตามจำนวนนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ซึ่งในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยแล้วที่ 20 ล้านคน จากที่ประเมินไว้ที่ 28.5 ล้านคน ประกอบกับรัฐบาลได้เพิ่มฟรีวีซ่าอีกสองประเทศคืออินเดียและไต้หวัน รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่คาดว่าถึงจุดสูงสุดแล้วที่ระดับ 2.50% ซึ่งจะส่งผลดีต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ” นายกรมเชษฐ์ กล่าว

อนึ่ง ASW ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 57 โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA),แบรนด์ ดิ อาเบอร์ (THE ARBOR) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 67,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 41 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 16 โครงการ ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 16,337 ล้านบาท