SHR กวาดรายได้ 9 เดือนแรกปี 2566 ที่ 7,222 ล้าน เติบโต 18% จากปีก่อน คาดไตรมาส 4 โตแรงรับอานิสงส์ท่องเที่ยวช่วงปลายปี
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท รายงานรายได้จากการขายและให้บริการสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 จำนวน 7,222 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18% จากงวดเดียวกันในปีก่อน ซึ่งได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรมแรมบริษัทฯ ที่คำนวณเฉพาะห้องพักที่เปิดให้บริการของบริษัทฯ ที่ 71% ปรับเพิ่มขึ้นถึง 12% จากปีก่อนหน้า รวมถึงอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย ต่อคืน (ADR) ที่เติบโตตามปริมาณความต้องการท่องเที่ยว และการปรับขึ้นค่าใช้จ่ายในการเดินทางตามภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงพฤติกรรมการบริโภคและท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทฯ มี ADR เฉลี่ยที่ 5,560 บาทในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ ปรับตัวขึ้นจาก 5,049 บาทในงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ระดับรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ปรับเพิ่มขึ้นถึง 29% ที่ระดับ 3,821 บาท เมื่อประกอบกับการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ รายงาน Adjusted EBITDA ที่ 1,749 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
คุณเดิร์ก อังเดรลีน่า เดอร์คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท กล่าวว่า “ในระหว่าง 9 เดือนแรกของปี 2566 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน ตั้งแต่ต้นปีเราบันทึกอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลมาจากปริมาณความต้องการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และกลยุทธ์ด้านราคาที่สนับสนุนโดยจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งของโรงแรมที่อยู่ในจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของการท่องเที่ยวมาตลอด พร้อมการวางมาตรฐานการบริการที่เป็นเลิศ และกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุกของเรา ด้วยปัจจัยดังกล่าว ทำให้โรงแรมในพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในทุกภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (1) ในประเทศไทยที่กลุ่มโรงแรมสามารถสร้างรายได้ที่เติบโตเป็น 2 เท่าตัว เนื่องจากการอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม และการจับฐานลูกค้าที่เป็นตลาดประจำและมีกำลังซื้อสูง อย่างชาวรัสเซีย เยอรมัน และ สหราชอาณาจักร โดยโรงแรมในประเทศไทยสะท้อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมากภายหลังการเปิดประเทศเต็มรูปแบบในปีแรก ซึ่งมีอัตราการเข้าพักที่ ไม่คำนวณรวมห้องพักที่อยู่ระหว่างปิดปรับปรุงสูงถึง 80% (2) โรงแรมของบริษัทฯ ในสหราชอาณาจักรยังคงเป็นฐานรายได้หลัก โดยสร้างรายได้อยู่ที่ 42% ของรายได้จากการให้บริการรวม ยังคงสะท้อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากความนิยมในการท่องเที่ยวในประเทศ และขยายตัวของการท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาค รวมถึงกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการบริหาร RevPAR และหาช่องทางเพิ่มประสิทธิภาพในการเติบโตของรายได้ให้ดีขึ้นได้ต่อเนื่อง ทำให้รายได้เติบโตขึ้น 12% จากปีก่อนหน้า (3) สำหรับโรงแรมในโครงการ CROSSROADS Maldives ที่อาจไม่ได้สะท้อนการเติบโตที่โดดเด่นนักเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของมัลดีฟส์ฟื้นตัวอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับประเทศจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญอื่น ๆ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจในยุโรปซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญของมัลดีฟส์ชะลอตัวลง ก่อให้เกิดผลกระทบของการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง ส่งผลให้รายได้เติบโตขึ้น 5% จากปี 2565
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นชัดเจนในไตรมาสสุดท้ายของปี ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 จากการเติบโตต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และสัญญาณการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างภูมิภาคซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มเส้นทางบิน และความถี่เที่ยวบิน โดยในปี 2566 นี้ ถือเป็นปีแรกที่การท่องเที่ยวทั่วโลกเปิดเต็มรูปแบบ ซึ่งเราเห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของลูกค้าตลาดใหม่ ๆ ในทุกภูมิภาคที่เราดำเนินงาน ซึ่งเราไม่รีรอที่จะช่วงชิงโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าศักยภาพเหล่านั้น และเตรียมความพร้อมในการนำเสนอรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์กระแสนิยมในการท่องเที่ยว พร้อมด้วยมาตรฐานในการบริการอันเป็นเลิศ ทั้งนี้ การปรับปรุงโรงแรมหลักของบริษัทฯ อันได้แก่ โรงแรม Outrigger Fiji Beach Resort, โรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต, โรงแรม ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และโรงแรมบางส่วนในสหราชอาณาจักร ยังคงเป็นไปตามส่วนหนึ่งของแผนยกระดับประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอที่บริษัทวางไว้ โดยห้องพักรูปแบบใหม่จะพร้อมส่งมอบห้องคืนและเปิดให้บริการกับนักท่องเที่ยวอีกครั้งในช่วงก่อนเข้าสู่ High season ของแต่ละประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างผลกำไรที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าห้องพักที่ได้รับการปรับปรุงแล้วจะสามารถยกระดับ ADR ได้เฉลี่ยในช่วง 15% - 25%
นายเดิร์กเพิ่มเติมว่า “เรายังคงเห็นสัญญาณการเติบโตที่ดีของภาคการท่องเที่ยวในทุกประเทศที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอยู่ ทำให้เรามีความมั่นใจว่ารายได้ในปี 2567 ของบริษัทจะยังขยายตัวต่อไปได้อย่างมั่นคง”
บริษัทฯ เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของการท่องเที่ยวมัลดีฟส์ในช่วง High Season จากปัจจัยสนับสนุนเชิงมหภาค เช่น เส้นทางบินและจำนวนเที่ยวบินที่กลับมาให้บริการเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มการจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งสอดคล้องกับมุมมองการฟื้นตัวของยอดจองห้องพัก และการดำเนินกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการบริหาร RevPAR โดยการเพิ่มช่องทางการขายและการหาฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มเติม ทั้งนี้ โรงแรมแห่งใหม่ของบริษัทฯ ภายใต้แบรนด์ SO/ Maldives ที่เพิ่งเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม โดยโรงแรมแห่งนี้จะเข้ามาเสริมและเติมเต็มทางเลือกในโครงการ Crossroads ให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของ Market segment ระดับต่าง ๆ ได้ครบถ้วน ในฐานะ Leisure destination ที่ครบวงจรแห่งใหม่ในมัลดีฟส์
ในส่วนของโรงแรมในสหราชอาณาจักร บริษัทฯ ยังคงมุ่งดำเนินการตามกลยุทธ์ Asset rotation ผ่านการคัดกรองสินทรัพย์ ปรับเปลี่ยนการลงทุนไปสู่สินทรัพย์ที่มีคุณภาพและศักยภาพสูงขึ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทน พร้อมยกระดับ แบรนด์ และ Repositioning ผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงานของพอร์ตโฟลิโอนี้ให้แข็งแกร่งขึ้นและพร้อมรับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างเต็มที่
สำหรับโรงแรมในประเทศไทย บริษัทฯ มุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับ Core assets เพื่อให้สามารถตอบรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นของการท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน โดยแผนในการปรับปรุงโรงแรมและยกระดับห้องพักจะดำเนินไประหว่างปี 2566 – 2568 โดยกำหนดที่จะดำเนินการก่อสร้างระหว่างช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวของแต่ละปีเท่านั้น และวางแผนให้ห้องพักใหม่กลับมารองรับนักท่องเที่ยวได้ในช่วง High season ในแต่ละปี เพื่อให้สามารถบรรลุศักยภาพในการกำหนดราคาให้สูงที่สุดได้
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่า ในไตรมาสแรกของปี 2567 พอร์ตโรงแรมในประเทศไทยจะมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยนอกจากจะได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของตลาดในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นผลมาจากปริมาณห้องพักที่กลับมาเปิดให้บริการเต็มจำนวน และมีการปรับเพิ่มขึ้นของราคาห้องพักจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่อีกด้วย
กลุ่มสุดท้ายคือ พอร์ตโรงแรม Outrigger จะเป็นแรงหนุนสำคัญที่จะผลักดันผลประกอบการในปี 2567 ด้วยปัจจัยสนับสนุนสามประการ ได้แก่ (1) ตลาดท่องเที่ยวในสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง โดยนอกจากแรงสนับสนุนจากปริมาณความต้องการท่องเที่ยวที่สูงขึ้นของนักเดินทางจากออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นตลาดหลักอยู่แต่เดิมแล้ว หมู่เกาะฟิจิยังเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวจากทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยตลอดทั้งปีของโรงแรมทั้งสองแห่งใน Fiji จะอยู่ระดับที่แข็งแกร่ง พร้อมผลักดันให้ ADR เติบโตขึ้นได้ตามกลไกตลาด (2) เสริมทัพด้วยโรงแรมที่ผ่านการปรับปรุงพัฒนาห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางหรือ Major renovation ที่เสร็จสมบูรณ์ 100% ในเดือนธันวาคมปีนี้ เรามั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรานำเสนอจะสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่นักท่องเที่ยว และเพิ่มความสามารถในการปรับ ADR ให้เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ และ (3) การกลับมาเปิดให้บริการเต็มปีของโรงแรม Outrigger Mauritius ซึ่งได้เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2566 หลังจากการปิดชั่วคราวเพื่อปรับปรุงระบบบริหารจัดการน้ำในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทันการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศ
“SHR ได้ดำเนินงานตามแผนที่เคยประกาศไว้ และผลักดันผลประกอบการให้เป็นไปตามเป้าหมาย ท่ามกลางความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจในบางประเทศ และปัจจัยเชิงลบ ตลอดจนเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัทฯ แต่ผม ผู้บริหาร และพนักงานของ SHR ทั้งหมดได้ทุ่มเทสรรพกำลัง และทรัพยากรของเราในการส่งมอบพันธสัญญาที่ได้ให้ไว้กับผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ ได้รับเงินจากการขายจำนวน 1,300 ล้านบาทเพื่อสำหรับวางรากฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เช่น การรองรับแผนการปรับปรุงและยกประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอ ตลอดจนการขยายการลงทุนในอนาคตต่อไป” นายเดิร์ก กล่าวปิดท้าย