ลดการเผาอ้อยด้วยคาร์บอนเครดิต และบรรลุเป้าหมาย Net Zero
- อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดรายได้แก่เกษตรกรปีละ 1 แสนล้านบาท แต่กระบวนเก็บเกี่ยวอ้อย ก่อให้เกิดฝุ่นละอองภาคเกษตร 23% และก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก (GHG) เฉลี่ยปีละ 2.4 ล้านตันต่อปี
- รัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมการตัดอ้อยสดด้วยการให้เงินช่วยเหลือ แต่ด้วยต้นทุนการตัดอ้อยที่สูง ทำให้ยังไม่สามารถลดอ้อยเผาให้เป็นศูนย์ได้
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา 3 แนวทาง
- กำหนดมาตรฐานคาร์บอนเครดิตจากการหยุดเผาเศษวัสดุทางการเกษตร และขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต โดยเบื้องต้น ถ้ามีมาตรฐานดังกล่าว ราคาคาร์บอนเครดิตอาจต้องไม่น้อยกว่า 126 บาท ต่อ tCO2 หรือคิดเป็นเงิน 915 ล้านบาทต่อปี เพื่อชดเชยต้นทุนจากการไม่เผา (ต้นทุนดำเนินการขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละราย)
- เพิ่มความเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิตในประเทศกับมาตรฐานในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงตลาดที่มีอุปสงค์มากขึ้น
- ลดสัดส่วนการปลูกอ้อยโดยอาจหันมาปลูกไม้โตไว ซึ่งนอกจากตัดขายเป็นรายได้ ยังสามารถขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตได้
- ควบคู่กับนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ ได้แก่
- ปรับปรุงเครื่องจักรเก็บเกี่ยวให้เหมาะสมกับพื้นที่
- จัดทำระบบคาดการณ์และจัดลำดับการเก็บเกี่ยวอ้อย
- สนับสนุนค่ารับรองคาร์บอนเครดิต
อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย แต่ก่อให้เกิดมลพิษ PM 2.5 อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้แก่ภาคเกษตรกรปีละ 1 แสนล้านบาท แต่กระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อยนั้นส่งผลให้เกิดฝุ่นละอองในอากาศ โดยฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นในภาคเกษตรมาจากการปลูกอ้อย 23% (รูปที่ 1) ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวแต่ยังไม่บรรลุผล
ปัจจัยเชิงโครงสร้างทำให้เกษตรกรยังไม่สามารถตัดอ้อยสดได้ทั้งหมด
-
- การตัดอ้อยด้วยรถต้องทำในพื้นที่มากกว่า 20 ไร่ ซึ่งค่าเฉลี่ยพื้นที่ปลูกอ้อยเท่ากับ 15.6 ไร่ต่อครัวเรือน โดยพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่เพาะปลูกน้อยกว่า 20 ไร่ (สีเหลือง) ขณะที่เกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 20 ไร่อยู่ในพื้นที่ภาคกลางและตะวันออก (สีส้ม) (รูปที่ 2)
-
- ต้นทุนแรงงานเกี่ยวอ้อยสดสูง และใช้ระยะเวลาเก็บเกี่ยวมากกว่า โดยใน 1 วันการตัดอ้อยสดสามารถเก็บเกี่ยวได้ 1.8 ตัน ในขณะที่ถ้าใช้วิธีอ้อยเผาจะเก็บเกี่ยวได้ 5 ตัน ทำให้แรงงานเลือกตัดอ้อยด้วยวิธีการเผาเพราะได้รายได้ต่อวันมากกว่าและเหนื่อยน้อยกว่า (รูปที่3) แต่การเผาอ้อยเข้าข่ายทำผิดตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
-
- ระยะเวลารับซื้อของโรงงานน้ำตาลมีจำกัด (วันปิดหีบเพื่อรับซื้ออ้อยปลายเดือนมี.ค. - เม.ย.) ส่งผลให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวใกล้ระยะเวลาปิดหีบ จำเป็นต้องเก็บเกี่ยวด้วยการเผาเนื่องจากไม่มีทางเลือกเพื่อที่จะให้ทันเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมการตัดอ้อยสด แต่ยังไม่สามารถลดอ้อยเผาให้เป็นศูนย์ได้
รัฐบาลเริ่มมีมาตรการสนับสนุนอ้อยสดเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองในภาคเกษตรตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งส่งผลให้ปริมาณอ้อยเผาที่มีการรับซื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ปริมาณอ้อยเผาเฉลี่ยยังคงอยู่ที่ราว 30% (รูปที่ 4) ซึ่งจะก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก (GHG) เฉลี่ยปีละ 2.4 ล้านตันต่อปี หรือ 4% ของ GHG ในภาคเกษตรของประเทศไทย
แก้ปัญหาการเผาอ้อยและลด GHG ด้วยคาร์บอนเครดิต
คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยส่งเสริมให้มีการทำโครงการลด GHG โดย GHG ที่ลดได้ สามารถนำมาขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตและซื้อขายได้ ประเทศไทยมีคาร์บอนเครดิตตามโครงการลดก๊าซเรือน กระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ที่ขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)
ปัจจุบันมีโครงการขึ้นทะเบียน T-VER แล้วจำนวน 429 โครงการ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บ 12.9 ล้าน tCO2-e เป็นโครงการประเภทเกษตร 9 โครงการ ปริมาณ GHG ที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ 343,195 tCO2-e หรือ 3% ของโครงการที่ขึ้นทะเบียน (รูปที่ 6) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำสวนยาง
การเก็บเกี่ยวอ้อยสดทดแทนการเผาสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 4.9 tCO2 ต่อไร่[1] อย่างไรก็ดี การเก็บเกี่ยวอ้อยสดมีต้นทุนที่สูงกว่าการเก็บเกี่ยวด้วยการเผา ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวอ้อยสดมีกำไรน้อยกว่าอ้อยเผา 519 บาทต่อไร่ (รูปที่ 7) โดยคำนึงถึงเฉพาะด้านเม็ดเงินที่เกษตรกรจะได้รับ
อย่างไรก็ดีคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการหยุดเผาเศษวัสดุทางการเกษตรยังไม่มีมาตรฐานคาร์บอนเครดิตรองรับ จะต้องมีการออกมาตรฐานมารับรองคาร์บอนเครดิตจากกิจกรรมดังกล่าวด้วย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอ 3 แนวทางลดการเผาอ้อยด้วยคาร์บอนเครดิต นอกเหนือจากแนวทางที่ภาครัฐพยายามสนับสนุนการตัดอ้อยสดอย่างต่อเนื่อง
- เพิ่มแรงจูงใจการตัดอ้อยสดด้วยคาร์บอนเครดิต
กำหนดมาตรฐานคาร์บอนเครดิตจากการหยุดเผาเศษวัสดุทางการเกษตร โดยเบื้องต้นประเมินว่า ราคาคาร์บอนเครดิตอาจจะต้องไม่น้อยกว่า 126 บาทต่อ tCO2-e เพื่อให้การตัดอ้อยสดจากการรวมกลุ่มกันรับรองคาร์บอนเครดิตมากกว่า 1,500 ไร่ มีกำไรเทียบเท่าการตัดอ้อยเผาที่ 2,878 บาทต่อไร่ หรือรายได้สุทธิจากคาร์บอนเครดิตอยู่ที่ 519 บาทต่อไร่ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายรับรองคาร์บอนเครดิต (100 บาทต่อไร่ แต่อาจผันแปรตามเงื่อนไขแต่ละราย) ซึ่งจะสามารถลด GHG ได้ 4.9 tCO2 ต่อไร่ หรือใช้เงินทุนราว 915 ล้านบาทต่อปี
- เพิ่มความเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิตในประเทศกับมาตรฐานในต่างประเทศ
ปัจจุบันมีโครงการลด GHG ในประเทศกว่า 51% ที่ขึ้นทะเบียนกับมาตรฐานต่างประเทศ (รูปที่ 9) ซึ่งหากประเทศไทยสามารถพัฒนามาตรฐานคาร์บอนเครดิตให้เชื่อมโยงกับต่างประเทศได้ จะเพิ่มความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิตจากต่างประเทศที่มีความต้องการลด GHG อีกเป็นจำนวนมาก
- ส่งเสริมให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกอ้อยและหันมาปลูกป่าเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว
เกษตรกรสามารถปลูกไม้โตเร็วซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่า เช่น
ยูคาลิปตัส มะฮอกกานี สนประดิพัทธ์ ไผ่ เป็นต้น ซึ่งนอกจากสามารถตัดขายเพื่อเป็นรายได้แล้ว ยังสามารถนำมาขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตได้[2]รวมถึงคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการปลูกป่าจะมีราคาสูง เฉลี่ย 290 บาทต่อ tCO2-e
นอกจากการส่งเสริมด้วยคาร์บอนเครดิต หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องดำเนินมาตรการควบคู่ด้วย ได้แก่
-
- ปรับปรุงเครื่องจักรเกี่ยวอ้อยสดให้เหมาะสมกับพื้นที่ขนาดเล็ก
- จัดทำระบบคาดการณ์และจัดลำดับการเก็บเกี่ยวอ้อยเพื่อให้ทันกับช่วงระยะเวลารับซื้อของโรงงาน
- สนับสนุนค่ารับรองคาร์บอนเครดิต
- สนับสนุนค่าใช้จ่ายของเอกชนจากการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero
การแก้ปัญหาการเผาอ้อยให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร โรงงานน้ำตาล ภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และภาคเอกชน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองและสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้อย่างยั่งยืน
[1] ธีรารัตน์ จีระมะกร, ณัฐวุฒิ ขาวสะอาด และ ประพิธาริ์ ธนารักษ์ (2563) “การประเมินการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของการปลูกอ้อยในจังหวัดบุรีรัมย์” วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา ปีที่ 25 ฉบับที่ 1 คำนวณ CO2 Emission ต่อไร่ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
[2] เอกสารประกอบการบรรยาย คาร์บอนเครดิต ภาคป่าไม้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก