โรงภาพยนตร์เอ็มบาสซี ดิโพลแมท สกรีน จัดงาน Cinematicverse Movie Coming Attraction 2025”  โชว์ Line up ภาพยนตร์ครึ่งปีหลัง 2024 และปี 2025 ให้กับ Exclusive Partner & Sponsorship เพื่อความร่วมมือในการวางแผนและทำกิจกรรมขยายฐานลูกค้าร่วมกันตลอดทั้งปี ผ่านสื่อโฆษณาแบบ 360 องศา ไม่ว่าจะเป็น   สื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์และ ป้ายโฆษณาแบบ Digital Signage ในพื้นที่โรงภาพยนตร์, สื่อโซเชียลมีเดียในเครือที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก, การทำ CRM Program, ทำ Packaging Sponsorship Strategy เพื่อสื่อสารกับลูกค้าผ่าน Packaging popcorn และกิจกรรมการตลาด On ground Marketing เพื่อให้ลูกค้ามีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ โดยได้รับความสนใจจากบริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ นักธุรกิจและเอเยนซี่พร้อมด้วยเหล่าเซเลบิตี้ แวดวงธุรกิจเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

ไบรอัน ฮอลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์เซกคิวทีฟ ซีนิม่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด

เปิดเผยว่า “ในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มวีดีโอสตรีมมิ่งขยายตัวอย่างรวดเร็ว และเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มากขึ้น แต่ภาพรวมธุรกิจโรงภาพยนตร์และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลกจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะโรงภาพยนตร์ก็ยังมีจุดแข็งที่สตรีมมิ่งสู้ไม่ได้ เห็นได้จากผลสำรวจพฤติกรรมการชมภาพยนตร์ของลูกค้าที่มาดูหนังที่ในโรงภาพยนตร์ว่าแพลตฟอร์มวีดีโอสตรีมมิ่ง ไม่มีผลต่อการ ดูหนังในโรงภาพยนตร์  เนื่องจากการดูหนังในโรงภาพยนตร์ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความแตกต่างจากการ ชมผ่านช่องทางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง หรือบรรยากาศที่แตกต่าง สอดคล้องกับ รายได้ของภาพยนตร์ ที่เข้าฉายในปีนี้ที่มีรายได้ระดับ 100 ล้านบาทขึ้นไปหลายเรื่อง เริ่มจากฝั่งฮอลลีวูด เรื่อง Inside Out 2  ที่ทำรายได้ 1,300 ล้านเหรียญทั่วโลก, Despicable Me 4 ทำรายได้ 700 ล้านเหรียญ, Godzilla x Kong: The New Empire ทำรายได้ 569 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ยังมีหนังไทย เช่น หลานม่า ทำรายได้ในประเทศไทย 320 ล้านบาท ถ้าในเอเชียทั้งหมดรวมกัน 1,300 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า จากผลสำรวจและรายได้หนังที่เข้าฉายสะท้อนว่า หลังจากสถานการณ์โควิด คนเริ่มกลับมาดูหนังในโรงภาพยนตร์มากขึ้น เห็นได้จากตัวเลขคนดูหนังในปี 2023 ซึ่งเป็นช่วงหลังสถานการณ์โควิดมีคนดูหนังถึง 90% เทียบกับในปี 2019 โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีหนังไทยที่  ประสบความสำเร็จสร้างรายได้เกิน 100 ล้านบาทหลายเรื่อง และยังมีอีก 4 เรื่องที่กำลังจะเข้าฉาย คาดว่าจะสร้างรายได้สูงอีกเช่นกัน อาทิ ธี่หยด 2 ตั้งเป้า 1,000 ล้านบาท ซึ่งในปีหน้าเริ่มมีหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดเข้ามาอาจ  ทำให้สัดส่วนปรับอยู่ที่ 50% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

ในปี 2025 ช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. และ ต.ค.-ธ.ค. เป็นช่วงไฮซีซั่นที่จะมีหนังฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่เข้าฉาย คาดว่าช่วง 6 เดือนนี้น่าจะมีคนดูหนังในโรงภาพยนตร์เพิ่มมากขึ้น และในปลายปีนี้พบกับ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ อาทิ เช่น  Folie à Deux , Wicked , Gladiator , Avatar 3 และแอนนิเมชันอย่าง Zootopia

จะเห็นได้ว่าจากที่กล่าวมาล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ สื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์นั้นแข็งแกร่ง ถือว่าเป็นสื่อโฆษณาที่มีจุดแข็งต่างกับสื่ออื่น ๆ เพราะเรามีสื่อโฆษณาแบบ 360 องศาครบทุกมิติ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ครอบคลุมทุกกลุ่มทุกเซกเมนต์ ซึ่งจะสามารถสร้าง Brand Awareness ให้กับพาร์ตเนอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

สำหรับ “กลยุทธ์สร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าผ่านสื่อโฆษณาแบบ 360 องศา” เพื่อสร้างแบรนด์ให้ครบทุกมิติ ตอบโจทย์ลูกค้าให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ประกอบไปด้วย

1.   สื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์ มีไลน์อัปหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูด และหนังไทยที่ทยอยกำหนดเข้าฉายอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งคอนเทนต์ทางเลือกที่ไม่ใช่ภาพยนตร์ (Alternative Content) ด้วยความหลากหลายของคอนเทนต์ครอบคลุมทั้งตลาด Mass และตลาด Localization ส่งผลให้จำนวนคนชมภาพยนตร์จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก 

2.   การทำ CRM Program ด้วยกลยุทธ์ “เนมมิ่ง สปอนเซอร์” (Naming Sponsor) โรงภาพยนตร์เพื่อช่วยให้แบรนด์ใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบความบันเทิงนอกบ้าน พร้อมมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้า และสร้างเอนเกจเม้นต์ได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบัน ทางสปอนเซอร์หลักของ Embassy Diplomat Screen ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) , ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) , เครื่องดื่มตราช้าง บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

3.   Campaign Promotion ซึ่งทางโรงภาพยนตร์เปิดมานานกว่า 10 ปี และมีฐานลูกค้าประจำ member มากกว่า 2,000 รายต่อปี ที่เป็นลูกค้า Heavy User ที่ดูหนังไม่น้อยกว่า 4 ครั้งต่อเดือน โดยสามารถสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยมุ่งเน้นสร้าง Brand Awareness ให้เข้าไปอยู่ในใจกลุ่มเป้าหมาย