บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) กับ บริษัท เอ็มเอเอ็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (MAX (Thailand))” ขนาดการผลิตไฟฟ้า 998 กิโลวัตต์ บนพื้นที่หลังคา 8,000 ตารางเมตร คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2025

          นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เปิดเผยว่า บริษัท ดับบลิวเอชเอ โซล่าร์ จํากัด (WHASL) บริษัทย่อยของ WHAUP ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ บริษัท เอ็มเอเอ็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (MAX (THAILAND)) ผู้นำในการผลิตเครื่องมือนิวเมติก (Pneumatic Tools) และเครื่องเย็บกระดาษอัตโนมัติจากประเทศญี่ปุ่น โครงการนี้จะดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ขนาดกำลังการผลิต 998 กิโลวัตต์ บนพื้นที่หลังคากว่า 8,000 ตารางเมตร ภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 (WHA ESIE 1) โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2025

การติดตั้งโซลาร์ให้กับ MAX (THAILAND) ในครั้งนี้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มองหาพลังงานหมุนเวียนอย่างการใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และยังแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อมาตรฐานการให้บริการระดับสากลของ WHAUP ในฐานะผู้นำด้านการบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคและพลังงานในนิคมอุตสาหกรรม

"โครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จะยังคงมองหาโอกาสในการขยายการติดตั้งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อให้บริการลูกค้าทั้งในและนิคมอุตสาหกรรมของเราต่อไป" นายสมเกียรติกล่าวเสริม

ด้านนายคูนิมิตซึ ทาคาฮาชิ กรรมการผู้จัดการและ นายอิสระ เงียวชัยภูมิ กรรมการ บริษัท เอ็มเอเอ็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด MAX (THAILAND) เปิดเผยว่าทางบริษัทฯ ได้เริ่มสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนโดยการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเต็มพื้นที่อาคารโรงงานแล้ว และยังคงต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ

ซึ่งบริษัทฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) มีขนาดการผลิตไฟฟ้า 998 กิโลวัตต์ บนพื้นที่หลังคา 8,000  ตารางเมตร โดยคาดว่าจะช่วยลดการใช้พลังงานจากสายส่งให้กับ MAX (THAILAND) ได้ถึง 1,300 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) ต่อปี อีกทั้งยังสามารถช่วยลดปริมาณคาร์บอนได้ถึง 12,700 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCo2eq) ตลอดอายุสัญญาโครงการ 20 ปี

โดยการลงนามในครั้งนี้เป็นการสานต่อนโยบายและเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัทด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้าเป็นหนึ่งในแนวทางที่สำคัญในการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 “ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการใช้พลังงานทดแทน 100% (RE100) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในขอบเขตที่ 2 จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากแหล่งพลังงานที่บริษัทซื้อจากภายนอก”