สนข.เดินหน้ารถไฟทางคู่ 2 สาย จีนเสนอปัดฝุ่นแผนร่วมทุน
นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ รองผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าว่า สนข.เตรียมงบประมาณ 350 ล้านบาท ศึกษาและออกแบบโครงการรถไฟทางคู่ขนาดรางมาตรฐาน (สแตนดาร์ด เกจ) 1.435 เมตร ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าระยะเร่งด่วน จำนวน 2 เส้นทาง คือ 1.เส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา-สระบุรี-แหลมฉบัง-มาบตพุด ระยะทาง 737 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 392,570 ล้านบาท และ 2.เส้นทางเชียงของ-เด่นชัย-บ้านภาชี ระยะทาง 655 กิโลเมตร วงเงินก่อสร้าง 348,890 ล้านบาท โดยเดือนตุลาคมนี้ จะเริ่มศึกษาถึงรูปแบบการก่อสร้างและรูปแบบการลงทุนที่เกิดความคุ้มค่าสูงสุด กำหนดใช้เวลา 1 ปีแล้วเสร็จ ต่อจากนั้นจะเริ่มก่อสร้าง ซึ่งตามแผนงานจะเสร็จปี 2564
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านทูตพาณิชย์ของประเทศจีน ได้เดินทางเจ้าพบนางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม แสดงความสนใจจะเข้าร่วมลงทุนในโครงการสแตนดาร์ด เกจ และขอให้ฝ่ายไทย นำข้อตกลงเดิมในอดีตระหว่างไทยกับจีนกลับมาพิจารณาใหม่ คือ การจัดตั้งบริษัทร่วมทุน 3 ฝ่าย รัฐบาลไทย-เอกชนไทย-เอกชนจีน เพื่อใช้เป็นรูปแบบการลงทุน แต่แท้จริงแล้วจะดำเนินการตามแนวทางไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับนโยบายของฝ่ายไทยว่าจะตัดสินใจอย่างไร
"จีนสนใจลงทุน เพราะมองว่าเป็นการพึ่งพาเศรษฐกิจระหว่างกัน และ 2 เส้นทางจะเชื่อมต่อประตูการค้าไปสู่จีน ขณะที่จีนก็เตรียมที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมมายังลาว ซึ่งภาพรวมคงคุยกับจีนประเทศเดียวไม่ได้ ต้องเปิดโอกาสให้ประเทศอื่นๆ ด้วย เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประโยชน์สูงสุด" นายชัยวัฒน์กล่าว
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า ในส่วนของการดำเนินงานระยะที่ 2 กระทรวงคมนาคม ยังจะมีการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ขนาดทางมาตรฐาน 1.435 เมตร ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า เพิ่มเติมอีก 3 เส้นทาง คือ 1.ตาก-พิษณุโลก-บ้านไผ่ 2.หนองคาย-อุบลราชธานี และ 3.บ้านภาชี-กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการระหว่างปี 2565-2572
นายชาญชัย สุวิสุทธะกุล รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รถไฟทางคู่ขนาดรางมาตรฐาน จะวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถพัฒนาต่อยอดให้รองรับระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่วิ่งด้วยความเร็วมากกว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปได้ เพราะออกแบบระบบเทคนิคเผื่อไว้แล้ว เช่น ระบบราง ระบบการเข้าโค้ง
ที่มา : นสพ.มติชน
Discussion
Follow breaking news Investment property articles on Facebook, click here.