จากกระแสราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาจนราคาไหลลงมา ต่ำกว่า 60 USD/bbl. ส่งผลกระทบต่อกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซีย ทำให้เกิดความวิตกกังวลไปทั่วโลก แน่นอนส่งผลกระทบมายังประเทศไทยเช่นกัน ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงาน ปรับตัวลดลงกดดันตลาดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งราคาน้ำมันได้ปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2557 มาแล้ว TerraBKK Research จึงขอนำเสนอผลประกอบการกลุ่มพลังงาน โดยโฟกัสเฉพาะกลุ่มน้ำมัน ว่าที่ผ่านมามีผลดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน (ข้อมูลตั้งแต่ปี 2552 ถึง ไตรมาส 3 ปี 2557)

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

น้ำมันดิบเป็นต้นทุนหลักของผู้ให้บริการน้ำมัน ดังนั้น ต้นทุนดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการโดยตรง ในช่วงที่ผ่านมาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนี่องซึ่งตรงนี้อาจจะส่งผลต่อผลประกอบการของผู้ประกอบการน้ำมันได้ (ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 อาจจะยังไม่สะท้อนราคาน้ำมันที่ตกลงมามากนัก นักลงทุนควรพิจารณาผลประกอบการเปรียบเทียบ ณ สิ้นปีประกอบด้วย)

ภาพรวมกลุ่มธุรกิจน้ำมัน อัตราผลตอบแทนของกลุ่มน้ำมันมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา และไตรมาส 3 ที่ผ่านมากลุ่มน้ำมันทำผลประกอบการได้ไม่โดดเด่นจากปีก่อนหน้า สำหรับบริษัทที่ผลประกอบการค่อนข้างดี มีเสถียรภาพ คือ  ปตท. และบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตและผลประกอบการออกมาดีขึ้นทั้งในเรื่องของผลตอบแทนและการบริหาร คือ PTG Energy สำหรับบริษัทที่มีแนวโน้มแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดคือ ESSO

ยอดขายกลุ่มธุรกิจน้ำมันเมื่อมองในภาพรวมในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี นำโดย ปตท. ที่มี Market Share สูงที่สุดในทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมและตลาด ด้วยรายได้ 3 ล้านล้านบาทต่อปี  แต่สำหรับ Thai oil รายได้ ในปี 2556 ปรับตัวลดลง ส่วนรายได้ที่มาอยู่อันดับสุดท้ายของกลุ่มน้ำมัน คือ RPCG ดำเนินการกลั่น คอนเดนเสทเรสซิดิวเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ได้แก่ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเตา และเคมีภัณฑ์

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

เมื่อมาดูรายได้หลังหักต้นทุนการผลิต หรือที่เรียกว่า อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จะเห็นว่า มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ประมาณ 4% เท่านั้น  บริษัทที่สามารถทำอัตรากำไรสุทธิได้สูงที่สุดคือ RPCG สูงถึง 7.38% แต่ Net Profit Margin กลับติดลบถึง -4.16% ซึ่งสะท้อนต้นทุนการบริหารที่สูงขึ้นต่อเนื่องกดดันกำไรสุทธิให้ต่ำลง ส่วนอัตรากำไรรองลงมาเป็นของ ปตท. มีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างคงที่ระดับประมาณ 6-7% ต่อปี และและอัตรากำไรสุทธิประมาณ 3% ต่อปี  แต่ที่น่าสังเกต คือ บริษัท PTG Energy มีอัตราผลกำไรทั้งในส่วนของ กำไรขั้นต้น และกำไรสุทธิที่ดีขึ้นจากปีก่อนหน้าขึ้นมาพอสมควร และเป็นบริษัทน้องใหม่ที่พึ่งเข้ามาในตลาดคงต้องติดตามดูผลงานกันต่อไป

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

ผลตอบแทนจากสินทรัพย์และส่วนของทุนส่วนใหญ่มีแนวโน้มการสร้างผลตอบแทนที่ลดลง สำหรับบริษัทที่ยังคงอัตราผลตอบแทนได้มากกว่า 10% ต่อปี คือ PTT ทำได้ดีที่สุดตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ส่วน RPCG มี ROA และ ROE ติดลบติดต่อกันถึง 3 ปีแล้ว สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนที่ผ่านมา ESSO ดูเหมือนจะย่ำแย่ที่สุด

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

ด้านการจัดหาเงินทุน อัตราหนี้สินต่อทุนส่วนใหญ่จะไม่เกิน 2 เท่า โดยบริษัทที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำสุด คือ PTG อยู่ที่ประมาณ 0.89 แสดงว่าเงินทุนปัจจุบันใช้จากหนี้สินมากกว่าเงินจากผู้ถือหุ้น ซึ่งสัดส่วน 0.89 อยู่ในสัดส่วนที่ดีมาก สำหรับบริษัทที่มีแนวโน้มการก่อหนี้มากขึ้นจากมากไปน้อย คือ บางจาก (25.0%),  ESSO (24.6%), IRPC (19.1%), Thai Oil (3.2%), PTG Energy (2.3%) ตามลำดับ สำหรับบริษัทที่ลดหนี้ได้จากมากที่สุดเรียงลำดับได้ดังนี้ RPCG (-27.8%) , PTT (-11.2%), SUSCO (-0,9%)

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset?ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช่ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช่จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity?ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น จากเจ้าของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง

บทความโดย : TerraBKK ข่าวอสังหาฯ

TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก