10 มหาเศรษฐี “รวยที่สุด” ในประเทศไทยปี 2558 ทำธุรกิจอะไรบ้าง
TerraBKK จะพาไป Update การจัดอันดับ “10 มหาเศรษฐีของเมืองไทย ประจำปี 2558” จัดโดย Forbes Thailand ในปีนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงอันดับมหาเศรษฐีไทยเกิดขึ้น ได้แก่ “นายธนินท์ เจียรวนนท์” ขึ้นจากอันดับ 2 มาเป็นอันดับที่ 1 และ “นายเจริญ สิริวัฒนภักดี” ขึ้นจากอันดับ 3 มาเป็นอันดับ 2 สลับกับ “ครอบครัว จิราธิวัฒน์” ซึ่งตกไปอยู่อันดับ 3 และมีมหาเศรษฐีหน้าใหม่ที่ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 9 คือ “วิชัย ศรีวัฒนประภา” ขึ้นแทน “นายวิชัย มาลีนนท์ และครอบครัว” เมื่อ TerraBKK ทรัพย์สินของมหาเศรษฐีทั้ง 10 อันดับ มารวมกัน มีมูลค่าทรัพย์สินสูงถึง 2.24 ล้านล้านบาท เท่ากับการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งประเทศเลยทีเดียว มหาเศรษฐีท่านไหนอยู่ในอันดับที่เท่าไร มีประวัติเช่นไร มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
อันดับที่1 “นายธนินท์ เจียรวนนท์” มีมูลค่าทรัพย์สิน 4.752 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.004 แสนล้านบาท )นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร “เครือเจริญโภคภัณฑ์ : CPF” เป็นบริษัทที่ทำการเกษตรแบบทันสมัยและครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ก้าวสู่การเป็นบริษัทอาหารชั้นนำระดับโลกมีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับภาคชนบท นายธนินท์ เจียรวนนท์ มีอีกหลายธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจอาหารสัตว์รายใหญ่, ผู้ผลิตกุ้งรายใหญ่ของโลก และผู้ผลิตสัตว์ปีกใหญ่ที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน และยังมีธุรกิจค้าปลีกอย่าง 7-11 ภายใต้การบริหารงานของ CP ALL ทั้งหมดนี้ทำให้เขาเป็นบุคคลที่รวยที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย
อันดับที่2 “นายเจริญ สิริวัฒนภักดี” มีมูลค่าทรัพย์สิน 4.29 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6.07 หมื่นล้านบาท )
เจริญ สิริวัฒนภักดี ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริษัทไทยเบฟเวอเรจ (ThaiBev) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน), ประธานกลุ่มบริษัท สุรามหาราษฎร จำกัด, ประธานกรรมการบริหาร บริษัททีซีซี กรุ๊ป (มีเครือข่ายลงทุนในต่างประเทศมากมาย) และประธานบริษัท มิลเลียไลฟ์ อินชัวรัส์ จำกัด มหาชน นายเจริญ สิริวัฒนภักดีเป็นนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีน ประกอบธุรกิจ หลากหลาย ทั้ง อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดที่สุดรายหนึ่งของประเทศไทย เจ้าของบริษัทเบียร์ช้างและบริษัทในเครือ และเจ้าของกิจการ โรงแรม พลาซ่า แอททินี่ ในกรุงเทพมหานคร และในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
อันดับที่3 “ครอบครัว จิราธิวัฒน์” มีมูลค่าทรัพย์สิน 4.059 แสนล้านบาท (ลดลง 7.7 พันล้านบาท )
หากพูดถึงตระกูลนี้ก็จะนึกถึง “เซ็นทรัลกรุ๊ป” มีศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทยและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านช่วงมรสุม ผ่านร้อน ผ่านหนาว จนในที่สุดชื่อ “เซ็นทรัล” ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของใครหลายๆคนและประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ โดย “เซ็นทรัลกรุ๊ป” เป็นเจ้าของแบรนด์ศูนย์การค้าดังๆในประเทศไทยหลายแบรนด์ได้แก่ Robinson, Zen และ Central เป็นต้น และยังทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภท Office Building, Hotel (Centara Hotel) อีกด้วย
อันดับที่4 “นายเฉลิม อยู่วิทยา” มีมูลค่าทรัพย์สิน 3.168 แสนล้านบาท (ลดลง 1.01 หมื่นล้านบาท)
เฉลียว อยู่วิทยา ในอดีตมีอาชีพเลี้ยงเป็ด และค้าขายผลไม้ จากนั้นเข้ามาในกรุงเทพฯ ทำงานร้านขายยา เป็นเซลส์แมนขายยา "ออริโอมัยซิน" จากนั้นได้ลาออกมาเป็นตัวแทนนำเข้ายามาจำหน่ายเอง และต่อมาตั้งโรงงานผสมยาอยู่หลังโรงแรมรัตนโกสินทร์ ราชดำเนิน จากนั้นตั้งบริษัท ทีซีมัยซิน ในช่วงแรก ผลิตแป้ง"แทตทู" ยาเด็ก "เบบี้ดอล" ก่อนจะมาถึงเครื่องดื่ม "กระทิงแดง" ด้วยการทำตลาดแบบถึงลูกถึงคน ทำให้กระทิงแดงตีตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ ของตลาดและเป็นผู้บริหาร บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด ได้ผลิตเครื่องดื่ม อาทิ เครื่องดื่มกระทิงแดง (โด่งดังไปทั่วโลก) ลูกทุ่ง สปอนเซอร์ กาแฟกระทิงแดง เรดบูลเอ็กตร้า เพียวลิคุ เป็นต้น
อันดับที่5 “นายกฤตย์ รัตนรักษ์” มีมูลค่าทรัพย์สิน 1.551 แสนล้านบาท (ลดลง 1.11 หมื่นล้านบาท )
กฤตย์ รัตนรักษ์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสถานีโทรทัศน์สีช่อง 7 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด(มหาชน) หรือ ปูนอินทรี ตระกูลรัตนรักษ์ ถือเป็นตระกูลรุ่นบุกเบิกตระกูลหนึ่งของสังคมธุรกิจไทย สามารถสร้างฐานธุรกิจอย่างมั่นคงในช่วงสงครามเวียดนาม มีเครือข่ายธุรกิจสำคัญ โดยเฉพาะปูนซีเมนต์นครหลวง และเจ้าของสัมปทานเครือข่ายฟรีทีวีรายใหญ่ที่สุด (ช่อง7) นอกจาก 3 ธุรกิจที่เป็นเสาหลักแล้ว ตระกูลรัตนรักษ์ ภายใต้การนำของ “คุณกฤตย์” ยังลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาด โดยใช้การเข้าไปลงทุนแบบถือหุ้นร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ ตระกูลรัตรักษ์ ยังคงเป็นหนึ่งในเจ้าของที่ดินจำนวนมากในประเทศไทยไม่แพ้ คุณเจริญและคุณธนินท์ เลยทีเดียว
อันดับที่6 “นายวาณิช ไชยวรรณ” มีมูลค่าทรัพย์สิน 1.32 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.9 พันล้านบาท)
ถ้าเอ่ยถึง “ไทยประกันชีวิต” ต้องนึกถึงคนๆนี้ ถือได้ว่าเป็นบุคคลเก่าแก่ในวงการประกันของไทยผ่านเส้นทางอันยาวนานกว่า 70 ปี ธุรกิจประกันยังเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามากที่สุดของกลุ่ม ปัจจุบัน คุณวาณิช ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจที่เข้าไปถือหุ้นอีก 6 สาย ประกอบไปด้วยสายประกันภัย สายการเงิน สายอุตสหกรรมและเครื่องดื่ม สายประกันภัย และสุดท้ายสายอสังหาริมทรัพย์ “วาณิช ไชยวรรณ” เป็นผู้สร้างบริษัทประกันชีวิตของคนไทยดังสโลแกน “ไทยประกันชีวิตดูแลชีวิตคนไทย”
อันดับที่7 “นายสันติ ภิรมย์ภักดี และครอบครัว” มีมูลค่าทรัพย์สิน 9.57 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.5 พันล้านบาท)
ตระกูลเบียร์ที่ได้ความนิยมที่สุดอย่างภายใต้แบรนด์ เบียร์สิงห์ เบียร์ลีโอ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี จำกัด “นายสันติ ภิรมย์ภักดี” เข้าสู่ธุรกิจ ในช่วงที่บุญรอด บริว เวอรี่ ซึ่งเป็นธุรกิจของตระกูลกำลังขยายตัวออกไปในแนวตั้ง เพื่อให้ธุรกิจมีความครบวงจร โดยการขยายโรงงานแห่งที่ 2 ที่ปทุมธานี มีการจัดตั้งบริษัทบางกอกกลาส ซึ่งเป็นโรงงาน ผลิตขวดเบียร์ โรงงานพลาสติกไทย ผู้ผลิตลัง พลาสติก บรรจุขวดเบียร์ และบริษัทเชียงใหม่ มอลท์ติ้ง ผลิตข้าวมอลท์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญ ในการผลิตเบียร์ ปัจจุบันธุรกิจเบียร์เป็นธุรกิจที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยคู่แข่งสำคัญที่สุดคือเบียร์ช้าง ของเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งมีฐานเงินทุนที่แน่น หนา และพยายามใช้กลยุทธ์ทางการตลาดทุก วิถีทาง เพื่อที่จะเบียดเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด ไปจากบุญรอดบริวเวอรี่
อันดับที่8 “นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” มีมูลค่าทรัพย์สิน 9.24 หมืนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.77 หมื่นล้านบาท)
นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ เจ้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นผู้วางยุทธศาสตร์ในการต่อยอดโรงพยาบาลด้วยการเห็นความคุมค่าในระยะยาวและสร้างความยิ่งใหญ่ในธุรกิจโรงพยาบาล จนกระทั่งปัจจุบันสามารถขยายเครือข่าย “โรงพยาบาลกรุงเทพ” ผลิตและจำหน่ายวัสดุภัณฑ์ทางการแพทย์ โดยมียอดการส่งออกไปต่างประเทศอีกด้วย และได้เข้าซื้อกิจการกับอีกหลายโรงพยาบาลเช่น โรงพยาบาลพญาไท เปาโล และอีกหลายโครงการ คุณหมอปราเสริฐ มีความตั้งใจอย่างสูงในการขยายเครือข่ายโรงพยาบาล ด้วยการเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ทั้งในและนอกประเทศเพื่อก้าวเป็นเบอร์ 1 ใน 3 ของโลกในอนาคต ปัจจุบันมีเครือข่ายกว่า 30 แห่ง
อันดับที่9 “วิชัย ศรีวัฒนประภา” มีมูลค่าทรัพย์สิน 8.25 หมื่นล้าน
วิชัย ศรีวัฒนประภา ปัจจุบันป็นเจ้าของกลุ่ม King Power โดยถือหุ้นมากกว่า 51% และเป็นประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ในอังกฤษโดยเข้าซื้อกิจการในปี 2553 จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาวูดลอว์น ประเทศสหรัฐอเมริกา ปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง และคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนอร์ททอร์ป ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้านการทำธุรกิจและบริหารธุรกิจ ได้แก่ บริษัทศรีอักษร (1980) จำกัด, กรรมการบริษัทไทยนิชิกาวา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูโรป้าปริ๊นซ์ จำกัด (มหาชน), กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาวน์ทาวน์ ดี.เอฟ.เอส.(ไทยแลนด์) จำกัด, กรรมการบริษัท ยูโรป้าปริ๊นซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น
อันดับที่10 “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” มีมูลค่าทรัพย์สิน 5.61 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.2 พันล้านบาท)
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 23 ของประเทศ ไม่เพียงแค่ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นนักธุรกิจใหญ่ มีเครือข่ายธุรกิจหลายแสนล้านบาทเข้าสู่วงการธุรกิจอย่างเต็มตัววิธีคิดแบบนักธุรกิจ แบบกล้าได้กล้าเสีย กล้าตัดสินใจทันที พร้อมที่จะเผชิญการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งเคยเป็นนักธุรกิจโทรคมนาคมและการสื่อสาร ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคมและการสื่อสารขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พลังงาน อดีตข้าราชการตำรวจ อดีตเจ้าของและประธานสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี อดีตเคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีแห่งประเทศกัมพูชา สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน และอดีตที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา
ธุรกิจส่วนใหญ่ของมหาเศรษฐีเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น “สินค้าจำเป็น” เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันที่ทุกคนต้องกินต้องใช้ ได้แก่ โรงพยาบาล เทคโนโลยีการสื่อสาร บันเทิง อาหารและเครื่องดื่ม และอสังหาริมทรัพย์
จาก Forbes Thailand ปี 2015 (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก
9 แนวคิดที่แตกต่างระหว่าง "คนมั่งมี" กับ "คนไม่มี" ทำอย่างไรเราถึงจะ “รวย” คำถามนี้คงเป็นคำถามของใครหลายๆคนที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่ TerraBKK ขอแนะนำเพื่อปรับตัวตอนรับความรวยที่กำลังจะเข้ามาคือ “ความคิด” บางครั้ง “ความรวย=มั่งมี” กับ “ความจน=ไม่มี” แตกต่างกันเพียงแค่ความคิด ความคิดเป็นตัวกำหนดการกระทำ โดยการกระทำก็จะสะท้อนออกมาเป็นผลลัพธ์ ถ้าเราคิดในแบบที่คนรวยคิดกันเราก็มีโอกาสที่ ชีวิตดีและมีฐานะดีขึ้น แต่ถ้าวันๆเราคิดไม่ดี คิดในแง่ลบ แล้วเราจะไปหาความรวยได้จากที่ไหน วันนี้ TerraBKK จึงอยากเสนอข้อคิดดีๆ เพื่อนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังกันทุกคน