นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH เปิดเผยว่า จากกระแส การที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่และธุรกิจอื่นเข้าซื้อบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเล็ก รวมไปถึงการร่วมทุนธุรกิจของอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่นั้น เพราะอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง และปัจจุบันต้องใช้เทคโนโลยีในการก่อสร้างมากขึ้น เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ดังนั้นการร่วมทุนหรือการควบรวมกิจการ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี จะทำให้สามารถขยายโครงการและซื้อที่ดินได้มากขึ้น หากพันธมิตรที่ร่วมทุนมีเทคโนโลยีที่ดี ก็จะทำให้การก่อสร้างโครงการสะดวกรวดเร็วขึ้น ทำให้มีข้อได้เปรียบในความแข็งแกร่งและการแข่งขัน ทั้งนี้ปัจจุบันมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอื่นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาดหลักทรัพย์ สนใจร่วมทุนทางธุรกิจกับบริษัท 3-4 ราย แต่มีเพียง 1 ราย ที่สนใจเข้าซื้อกิจการของบริษัท โดยต้องการเข้ามาซื้อหุ้นทั้งหมด (เทคโอเวอร์) เพราะมีตัวเลขทางบัญชีและผลประกอบการที่ดี แต่บริษัทไม่มีนโยบายที่จะขายบริษัท ขณะเดียวกันยังเปิดกว้างและอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรร่วมทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ โดยบริษัทที่เข้ามาจะต้องไม่ใช่มีแค่เพียงเงินลงทุนเท่านั้น แต่ต้องมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วย ยิ่งเป็นพันธมิตรจากต่างประเทศในรูปแบบของกองทุนด้วยยิ่งดี เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันได้มากขึ้น แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมา มีทิศทางด้านบวก ภาคเศรษฐกิจโดยรวมมีการปรับตัวดีขึ้น ตามการขยายตัวของการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จึงมีแนวโน้มที่ดี และส่งสัญญาณด้านบวกแก่การดำเนินธุรกิจ ส่วนด้านอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลดีจากการลดดอกเบี้ย ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก เพราะเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการและผู้ซื้อบ้านที่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยถูกลง ทำให้มีกำลังผ่อนบ้านมากขึ้น
ส่วนแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2558 นี้วางแผนขยายโครงการแนวราบเพิ่ม 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท ขณะที่โครงการแนวสูง บริษัทยังมองว่าตลาดเมืองพัทยาว่ายังสดใส มีปัจจัยบวกหลายด้าน ซึ่งพัทยาเป็นเมืองเศรษฐกิจพิเศษ เป็นเมืองท่องเที่ยว และเป็นประตูเมืองหน้าด่านภาคตะวันออก มีแหล่งงานจากนิคมอุตสาหกรรม และในอนาคตอันใกล้ การเดินทางจะสะดวกมาก เพราะเป็นเส้นทางสำคัญของการพัฒนาเมืองเศรษฐกิจพัทยา ในแผนการพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้ารางเดี่ยว Monorail Pattaya สถานีชัยพรวิถี ดังนั้นเมืองพัทยาจึงมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทมีการวางรากฐานการทำการตลาดบ้านในพัทยาอย่างยาวนานกว่า 10 ปี ล่าสุดสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียม “Natureza Art” โครงการแรกได้ตามเป้า ปัจจุบันเร่งการส่งมอบให้กับลูกบ้าน และได้เดินหน้าพัฒนาเปิดโครงการ 2 ต่อทันที มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ขณะนี้มียอดจองแล้ว 60% โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 150 ล้านบาท ในสิ้นปี 2558 นี้ พร้อมกันนี้บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายรวมในปี 2558 ไว้ที่ 3,400 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 2,200 ล้านบาท

หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด Photo credit by : www.manager.co.th

ขอบคุณข้อมูลจาก : แนวหน้า