เอสซีฯ ครึ่งปีแรกโดดเด่น รายได้-ยอดขาย-กำไรเติบโต มั่นใจรายได้ทั้งปีทะลุเป้า 13,900 ลบ. ครึ่งปีหลังพร้อมเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 8,800 ลบ. เดินหน้ารุกพัฒนาบ้านเดี่ยว เซ็กเม้นท์ใหม่ ภายใต้ แบรนด์ “PAVE (เพฟ)” ตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี สร้างรายได้รวม โตปีละ 10%

IMG_4024

      นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียมชั้นนำ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ 5 ปี พร้อมการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ได้กล่าวถึงความสำเร็จของผลประกอบการในครึ่งปีแรกที่เติบโตทั้งด้านยอดขาย รายได้ และกำไรว่า “SC นั้นมียอดขายรวม 5,930 ล้านบาท เติบโตขึ้น 71% จากปี 2557 ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 5,931 ล้านบาท เติบโต 37% จากปี 2557 ซึ่งเป็นรายได้จากการดำเนินงาน 5,913 ล้านบาท ที่มาจาก 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย คิดเป็นสัดส่วน 93% กับรายได้จากธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าและบริการที่สัดส่วน 7% โดยมีกำไรสุทธิสูงถึง 658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% จากปี 2557

IMG_4012

การที่ยอดขายและรายได้เติบโตขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกนั้นเนื่องมาจากตลาดระดับลักซ์ชัวรี่มีอัตราการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป ของ SC มี รายได้ที่เติบโตขึ้นมากกว่า 67% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมา ซึ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ นอกจากนี้ยังได้มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่โครงการ SALADAENG ONE พร้อมกับโครงการเดอะเครสท์ สุขุมวิท 34 คอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ซึ่งปิดการขายแล้ว 100% และโอนเรียบร้อยแล้วได้มากกว่า 50% ของยอด Backlog ทั้งหมด สำหรับในส่วนกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นนั้นมาจาก 1 ใน 5 ยุทธศาสตร์ “รีดไขมัน ไม่ลดคุณภาพ” โดยบริษัทฯ มีแผนในการลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ ไม่จำเป็น ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพสินค้าและบริการ ทำให้ได้รับกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น จึงมั่นใจว่าปีนี้ SC จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ทั้งยอดขาย 13,000 ล้านบาท และรายได้ 13,900 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์ 5 ปี

  1. ยุทธศาสตร์เชิงรุก ในการลงทุน รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดบ้านเดี่ยว
นอกจากจะตั้งเป้าในการรักษาแชมป์ของบ้านหรูราคาเกิน 15 ล้านบาทขึ้นไปแล้ว ปีนี้เอสซี แอสเซทฯ จะขอบุกตลาดใหม่อีกด้วย
  • ตลาดที่1 บ้าน 15 ล้านขึ้นไป สิ่งที่เราต้องเดินไปใน 5 ปีนี้ คือการรักษาแชมป์ รักษาเซกเม้นต์เซ็กชั่นบ้าน 15 ล้านขึ้นไปให้ได้ต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกัน
  • ตลาดที่2 บ้าน 5-15 ล้าน เป็นพอร์ทที่สองที่เราได้ทำตรงนี้อย่างน้อยมา 5 ปีแล้ว ความตั้งใจของเราคือจะลุยตลาดตรงนี้ จะต้องอยู่ใน top5 ตลอด 5 ปีติดต่อกันให้ได้อีก
  • ตลาดที่3 บ้าน 3-5 ล้าน เป็นสนามที่เรายังไม่เคยลงมาก่อน ปีนี้จะเป็นปีแรกที่เราจะบุกในตลาดนี้ ภายใต้ชื่อโครงการว่า PAVE เป็นบ้านที่ประหยัดแรงงานและสร้างได้เร็ว ถ้าจะฉายภาพให้เห็นชัดขึ้นประมาณปี 2019 โปรดักส์ของเราตรงนี้อยู่ที่ประมาณ 10-15% ของฐานบ้านแนวราบทั้งหมด
ในส่วนของแนวสูงเราจะเปิดอย่างน้อยๆ 2-4 โครงการทุกๆ ปี และก็จะสร้างยอดขายให้ได้ ทุกปี อย่างน้อยปีละ 4,500-6,500 ล้านบาท กล่าวโดยสรุป ยุทธศาสตร์แนวรุกในการลงทุน คือจะรักษาฐานบ้านหรูเอาไว้ให้ได้อันดับ 1 และ top 5 และก็จะรุกไปในตลาดใหม่ๆ ซึ่งจะสามารถสร้างฐานรายได้เป็นอย่างดีด้วย
  1. เชิงรับ “รีดไขมัน แต่ไม่ลดคุณภาพ” (Cost Effectiveness)
เป็นยุทธศาสตร์ที่ทุกๆ แผนกในบริษัทมาช่วยกันว่า ทำอย่างไรให้ยังขายได้เหมือนเดิม ทำอย่างไรที่จะได้บ้านคุณภาพให้เหมือนเดิม แต่เราลดค่าใช้จ่ายอย่างอื่นลงได้ และเป็นการใช้ค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
  1. รักษาคุณภาพระดับพรีเมี่ยมทั้งสินค้าและบริการ
ในฐานะแบรนด์ที่ทำของพรีเมี่ยม เราจะไม่ลดคุณภาพลง ทั้งบริการหลังและก่อนการขาย เราจะรักษาคุณภาพ รักษาความเป็นพรีเมี่ยมของโปรดักส์และบริการของเราตลอด
  1. พัฒนาบุคคลากรและสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการสร้างสรรค์และใส่ใจ (People Development & Culure)
เชื่อว่าธุรกิจบ้านของไม่ได้ต่างกันมาก แต่สิ่งที่จะทำให้ต่างกันจริงๆ คือคนในบริษัท ดังนั้น เราจึงจะพัฒนาบุคคลากรของเราให้แข็งแกร่ง ให้คิดอย่างสร้างสรรค์และทำให้แตกต่าง และพร้อมสำหรับวัฒนธรรมซึ่งเราทำมาตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และกำลังจะบ่งทำต่อใน 10 ปีข้างหน้า คือวัฒนธรรมแห่งการสร้างสรรค์
  1. คิดค้นนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง (Innovation)
เราจะแข่งกับทุกคนได้ทั้งระยะยาว ระยะกลางขึ้นไป เราต้องแตกต่าง เราจึงต้องมีนวัตกรรม เราต้องมีสิ่งใหม่ๆ ตลอด เพราะฉะนั้นทีมจะถูกให้คิดตลอดเวลาว่าเราจะทำโปรดักส์ใหม่ๆ มาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้านประหยัดพลังงานหรือบ้านเพื่อสุขภาพ ทุกวันนี้ก็มีการทำอยู่ตลอด สิ่งไหนที่มีความสำเร็จเราก็จะนำมาใช้ เพื่อให้ลูกค้ามีสิ่งที่ดีที่สุด

http://terrabkk.com/wp-content/uploads/2015/08/PAVE1-e1439526638830.jpg

บ้านเดี่ยว เซ็กเม้นท์ใหม่ ภายใต้ แบรนด์ “PAVE (เพฟ)”

http://terrabkk.com/wp-content/uploads/2015/08/PAVE02-e1439526714354.jpg

บ้านเดี่ยว เซ็กเม้นท์ใหม่ ภายใต้ แบรนด์ “PAVE (เพฟ)”

      ตามแผนธุรกิจปี 2558 ที่จะเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาได้เปิดโครงการระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่รวม 2 โครงการ มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท คือ คฤหาสน์หรูชั้นนำ โครงการ กรานาดา ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม กับคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ ชัวรี่ โครงการ SALADAENG ONE พร้อมกับในช่วงครึ่งปีหลังที่เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,800 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 4,800 ล้านบาท

IMG_4017

นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า “ในไตรมาส 3/58 นี้ SC ได้เปิดโครงการบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์นที่พัฒนารูปแบบดีไซน์ใหม่ล่าสุด พร้อมกัน 3 โครงการ โดยนับเป็นครั้งแรกที่ SC จะรุกเข้าตลาดใหม่ที่บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ในแบรนด์ใหม่ล่าสุดชื่อ PAVE (เพฟ) ซึ่งตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาทนั้น มีความน่าสนใจ เนื่องจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดนี้มีมูลค่ายอดขายขนาดใหญ่สุดสูงกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าตลาดบ้านเดี่ยวในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ดังนั้นการรุกเข้าตลาดเซ็กเม้นท์ใหม่นี้เป็นการเพิ่มฐานรายได้ให้กับ SC ตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อสร้างรายได้ตามเป้าที่วางไว้ 20,000 ล้านบาท ในปี 2562 โดยปี 2558 นี้ได้เปิดโครงการแรกที่รังสิต พร้อมตั้งเป้ารายได้จากการพัฒนาโครงการเพฟ ให้มีสัดส่วน 10% ของรายได้รวมทั้งหมด”

IMG_4018

โครงการเพฟ รังสิต มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ 81-2-51.3 ไร่ จำนวน 320 หลัง ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท มีความโดดเด่นในเรื่องทำเลติดถนนใหญ่ถนนรังสิต–นครนายก คลอง 4 พร้อมแวดล้อมด้วยการเชื่อมต่อใกล้ทางด่วนวงแหวนกาญจนาภิเษก ใกล้แหล่งสรรพสินค้าชั้นนำ สถานศึกษา หรือโรงพยาบาลต่างๆ ด้วยแนวคิด “คิดพื้นที่ ให้คุณคิดใช้ชีวิต” ด้วยแบบบ้านดีไซน์ใหม่ล่าสุด เพื่อรองรับพื้นที่ที่จัดสรรและสร้างความสุขให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัวกับแบบบ้าน 2 แบบ ให้เลือก คือ PAVE X แบบพื้นที่ใช้สอย 167 ตารางเมตร และ PAVE Y แบบพื้นที่ใช้สอย 156 ตารางเมตร ที่เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่น ห้องรับแขก พร้อม Double Living ที่เป็นพื้นที่ Signature Function ของ SC ASSET กับห้องนอนขนาดใหญ่ ห้องน้ำ 3 ห้อง ที่จอดรถ 2 คัน และครัวไทย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการทั้ง คลับเฮ้าส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ พร้อมสวนขนาดใหญ่กว่า 2 ไร่ ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ควบคุมการเข้าออกด้วย ACCESS CARD และ CCTV พร้อมติดตั้งสัญญาณกันขโมยในตัวบ้านทั้งหลัง พร้อมกับอีก 2 โครงการใหม่ คือ โครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา 65 มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท บนพื้นที่ 42-3-9.1ไร่ จำนวน 152 หลัง ราคาเริ่มต้น 6.99 ล้านบาท กับโครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท บนพื้นที่ 57-2-98.4 ไร่ จำนวน 271 หลัง ราคาเริ่มต้นเพียง 4.59 ล้านบาท ปัจจุบันนี้ทั้ง 3 โครงการใหม่ได้เปิดพรีเซลส์ไปแล้ว ซึ่งประสบความสำเร็จในการขายเฟสแรกอย่างรวดเร็ว ได้รับยอดขายรวมกันประมาณ 300 ล้านบาท นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปถึงสภาพเศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีหลังว่า “จากที่หลายฝ่ายคาดการณ์การเติบโตของ GDP (Gross Domestic Product) ประเทศไทย 2015 อยู่ที่ประมาณ 2.5-3.5% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขประมาณการเมื่อต้นปี โดยมองว่าปัจจัยบวกในช่วงครึ่งปีที่เหลือนั้น จะเป็นเรื่องการเติบโตของภาคท่องเที่ยว ราคาค่าน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ตลอดจนค่าก่อสร้างที่อยู่ในภาวะทรงตัว ส่วนปัจจัยที่น่ากังวล คือ เรื่องของภาคการส่งออกและสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ยังสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีผลต่อกำลังซื้อและความสามารถในการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย สำหรับตลาดในระดับ กลางถึงล่าง อย่างไรก็ตาม SC มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายและรายได้ได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคา 10 ล้านขึ้นไปยังไปได้ดี โดยรายได้จากตลาดกลุ่มนี้มีสัดส่วนสูงถึง 2 ใน 3 ของรายได้จากโครงการแนวราบทั้งหมดของ SC และตัวเลขยอดปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคาร (Bank Rejection Rate) ของลูกค้า SC สำหรับในครึ่งปีแรกยังอยู่ที่ 5% เท่าปีที่ผ่านมา โดยกลยุทธ์ สร้างบ้านเสร็จก่อนขาย และการทำ pre-approve ก่อนการจอง สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการกู้ไม่ผ่านได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร "คุณภาพ" เป็นสิ่งที่ SC ยึดถือเป็นยุทธศาสตร์หลักโดยตลอด เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ขอบคุณข้อมูลจาก SCASSET